หนุ่มยุ่นเครียดโดนทิ้ง ผูกคอดับในร้านอาหารย่านเอกมัย

หนุ่มยุ่นเครียดแฟนทิ้ง ใช้สายไฟผูกคอกับคานประตูห้องน้ำดับอนาถ ตรวจสอบพบจดหมายลาตายเขียนระบาย โดนคนไว้ใจหลอกเอาเงินเกลี้ยง

เมื่อเวลา 17.30 น. วันนี้ (1 พ.ย.) ร.ต.ท.ปิยวิทย์ ทองเดช พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ได้รับแจ้งเหตุมีชายชาวต่างชาติผูกคอเสียชีวิตภายในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ “ซาซาโอ” ตั้งอยู่เลขที่ 15 ซอยเอกมัย 4 ถนนสุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กทม. จึงเร่งไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวชจากโรงพยาบาลจุฬาฯ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว เปิดเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น เนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา มีรั้วรอบขอบชิด จากการตรวจสอบภายในห้องพักที่ต่อเติมอยู่บริเวณด้านหลังนอกตัวร้านอาหาร ซึ่งทำเป็นห้องพักผ่อน เจ้าหน้าที่พบศพนายทาโร โอกาโดะ อายุ 37 ปี สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหุ้นส่วนร้านอาหารดังกล่าว สภาพศพใช้สายไฟสีดำผูกคอกับคานประตูห้องน้ำในห้องพัก สวมเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงิน นุ่งกางเกงบอกเซอร์ลายสก๊อตสีขาวเทา ตรวจสอบตามร่างกายไม่พบบาดแผลการถูกทำร้ายแต่อย่างใด

จากการตรวจสอบภายในห้องที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบจดหมายลาตายเขียนด้วยลายมือเป็นภาษาญี่ปุ่นลงในกระดาษ 1 แผ่น มีใจความระบุว่า ขอบคุณเอ ขอบคุณพ่อแม่ และรู้สึกเสียใจเหมือนโดนหักหลัง ทั้งๆ ที่ไว้ใจเอมาก แต่สุดท้ายก็มาถูกเอหลอกเอาเงินทองไป เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนบิดาผู้ตายให้การว่า ตนเข้ามาทำธุรกิจเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมานานประมาณ 15 ปี แล้ว โดยเปิดไว้หลายร้านด้วยกัน ส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านสุขุมวิท และมีผู้ตายซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว คอยช่วยดูแลกิจการร้านอาหารทั้งหมด ซึ่งเจ้าตัวจะพักอยู่ที่ห้องที่เกิดเหตุเพียงลำพังคนเดียว นิสัยส่วนตัวเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร โดยก่อนหน้านี้มีหญิงชาวไทยคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารในย่านทองหล่อมาติดพันลูกชายตน แต่ถูกหลอกเอาเงินไปจำนวนมาก โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา ลูกชายก็เพิ่งมีปากเสียงทะเลาะกับหญิงคนดังกล่าวอย่างรุนแรง หลังจากนั้น ลูกชายก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องมาตลอด จนกระทั่งวันนี้ช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. ลูกพี่ลูกน้องของลูกชายตนก็เข้ามาพบว่าผูกคอตายดังกล่าว

ร.ต.ท.ปิยวิทย์ กล่าวว่า สันนิษฐานว่าผู้ตายน่าจะผูกคอตายเอง เนื่องจากมีจดหมายลาตายอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม จะส่งศพผู้ตายไปชันสูตรที่แผนกนิติเวชศาสตร์ รพ.จุฬาฯ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง