“วัชรพล” ทำพิธีมอบตำแหน่ง ผบ.ตร. ให้ “สมยศ” อย่างเป็นทางการ เชื่อมั่นนำพาองค์กรตำรวจได้ดี ด้าน ผบ.ตร. คนใหม่ให้คำมั่นล้าง “ส่วย” วงการตำรวจ ขับเคลื่อนนโยบายเก่าบวกใหม่ทั้งความมั่นคง ยาเสพติด สวัสดิการตำรวจ
วันนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รรท.ผบ.ตร. ได้ทำพิธีส่งมอบตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. ที่จะรับตำแหน่งผบ.ตร. ในวันที่ 1 ตุลาคม นี้ โดย พล.ต.อ.วัชรพล และ พล.ต.อ.สมยศ ได้ขึ้นแท่นรับความเคารพจากกองเกียรติยศจากนักเรียนนายร้อยตำรวจบริเวณหน้าอาคาร 1 จากนั้นได้ตรวจแถวกองเกียรติยศ จากนั้น พล.ต.อ.วัชรพล และ พล.ต.อ.สมยศ ได้วางพานประดับพุ่มดอกไม้สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 โดยมีข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบ.ตร. ผู้ช่วยผบ.ตร. ร่วมพิธี ต่อมาได้ทำพิธีรับ-ส่งหน้าที่ห้องประชุมศรียานนท์ โดยมีข้าราชการตำรวจนระดับสูงเข้าร่วมในพิธี
โดย พล.ต.อ.วัชรพล และ พล.ต.อ.สมยศ ได้ลงนามหนังสือรับ-ส่งมอบหน้าที่พร้อมแลกเปลี่ยนของที่ระลึก โดย พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวขณะส่งมอบอำนาจหน้าที่ว่า ขอแสดงความยินดีกับ ผบ.ตร. คนใหม่ที่ผ่านมาได้แสดงผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ ตลอด 4 เดือน 7 วัน ที่ได้ทำหน้าที่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ช่วงที่มีความผกผันทางการเมือง การปกครอง กิจการตำรวจ ต้องขอขอบคุณน้องๆ ตำรวจทุกคนรวมทั้ง พล.ต.อ.สมยศ ที่ได้มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นตำรวจของประชาชน 4 เดือนที่ผ่านมา ขอบคุณตำรวจทุกนายที่ช่วยกัน ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่มีวันที่ส่งมอบอำนาจหน้าที่ได้อย่างงดงามถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากตำรวจ 2.2 แสนนาย
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ตำรวจวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมาก การทำงานของ พล.ต.อ.สมยศ ที่ผ่านมา ทำให้เราสามารถธำรงไว้ซึ่งคำว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง สำนักงานตำรวจต่อจากนี้ไปภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สมยศ จะปฏิบัติหน้าที่ได้สมกับความคาดหวังของประชาชน เพื่อข้าราชการตำรวจ ขอให้ตำรวจทุกคนเป็นกำลังใจ มีความรัก ความสามัคคี ผูกพันกัน มุ่งมั่นตั้งใจทำหน้าที่ ผมเชื่อและจะไปอย่างผาสุก ว่าอาชีพที่ทำมาตลาด 42 ปี เป็นอาชีพที่พึงพาของประชาชนได้อย่างแท้จริง
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวในพิธีรับมอบตำแหน่งว่า ขอรับมอบหน้าที่ ผบ.ตร. ด้ายความยินดี เต็มใจ ให้คำมั่นว่าจะอุทิศ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญาเท่าที่มีอยู่ปฏิบัติภารกิจให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะทำงานอย่างซื่อสัตย์ สุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการตลอดจนทำเนียมที่ดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นพื้นฐาน เทิดทูนสถาบัน จะประสานนโยบายเก่าที่ดีควบคู่กับนโยบายใหม่ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ดูแลสวัสดิการตำรวจให้ดียิ่งขึ้น หวังว่าตำรวจทุกคนจะร่วมมือร่วมใจให้สำนักงานตำรวจบรรลุเป้าหมายสมเจตนารมณ์ของทางราชการ ประชาชนได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง มองความรักความศรัทธา ความผาสุกให้กับประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นข้าราชการตำรวจได้ตั้งแถวมอบดอกไม้ให้กับ พล.ต.อ.วัชรพล และผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่เกษียณอายุราชการ พร้อมส่งขึ้นรถออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น
พล.ต.อ.สมยศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับมอบตำแหน่งว่า ตนเองจะแถลงนโยบายที่จะทำตลอดระยะเวลา 1 ปี ในวันพรุ่งนี้ เวลา 10.00 น. และจะมอบนโยบายผู้บัญชาการทุกหน่วยในวันที่ 4 ตุลาคม เวลา 09.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงจะนำนโยบายที่คิดไว้ว่าจะทำอะไรบ้างในรอบ 1 ปี แก่ผู้บัญชาการเพื่อนำไปชี้แจงถ่ายทอดผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติ สำหรับนโยบายหลักๆ คือ การถวายความจงรักภักดี ถวายอารักขาแด่พระบรมวงศานุวงศ์ นโยบายด้านความมั่นคง ยาเสพติด การจราจร เป็นสิ่งสำคัญเพราะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน การดุแลสวัสดิการตำรวจ การปราบปราบการทุจริตประพฤติมิชอบซึ่งเป็นนโยบายหลักที่นายกฯเน้นให้การทุจริตประพฤติมิชอบหมดไป ตนเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องสนองนโยบายของรัฐบาล
“เรื่องแก้ปัญหาการทุจริตจะทำในทุกเรื่องที่ประชาชนพูดกัน ทั้งส่วยและอะไรที่ผิดกฎหมาย ลดลงหรือให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมีได้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้หมดไป ที่ผ่านมาสังคมก็พูดกันว่ามีเรื่องส่วยเเรื่องการทุจริตตนเองก็อยากจะสนองความต้องการของสังคม ไม่ได้มี ไม่ให้เกิด ซึ่งแน่นอนว่าหากมีการทุจริตเกิดขึ้นมีหลักฐาน มีข้อบ่งชี้จะต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาด เป็นคำมั่นที่ตนเองให้ไว้เลย หลังจากนี้ให้ประชาชนดู ตนเองจะทำให้ประชาชนรักมีความรู้สึกดีกับตำรวจเพิ่มมากขึ้นและจะดูแลสารทุกข์สุขดิบของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี ตนเองพูดไปแล้วคำพุดเป็นนายต้องปฏิบัติแต่จะปฏิบัติได้มากหรือ น้อยขึ้นอยู่กับความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องข้าราชการตำรวจทั้งประเทศ” พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงคดีความมั่นคงที่ค้างคาอยู่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ที่ค้างอยู่เราก็ทำอยู่ตลอด เราไม่ได้หยุดนิ่งคดีต่างๆ ดูเหมือนค้างแต่ไม่ค้างเราขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา คดีที่เกี่ยวกับสถาบันฯ ถือว่าสำคัญมากที่สุดเราดำเนินการแก้ไขอย่างต่อเนื่องแต่มีข้อจำกัดเรื่องขอบเขต ระบบเทคโนโลยรสมัยใหม่ที่ซับซ้อนทำให้ยากในการทำงาน ซึ่งเราก็ต้องแก้ไขกันต่อไป อย่างผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯสถาบันหลายๆรายที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ต้องชี้แจงว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำสำนวนส่งให้อัยการสูงสุด ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดและกระทรวงต่างประเทศต้องไปดำเนินการตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าประเทศไหนมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนเราก็ร้องขอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้มีสนธิสัญญาความผิดบางประเภท บางข้อหาก็ไม่มีในเงื่อนไขหรือข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดน
เมื่อถามถึงกรณี นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ผู้ต้องหาหมิ่นเบื้องสูง ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าอยู่ในประเทศกัมพูชา พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ก็ต้องกลับไปดูว่าเรามีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศกัมพูชาหรือไม่ และครอบคลุมมาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งนี่เป็นข้อจำกัดทำให้เราไม่สามารถดำเนินการได้ เราต้องยอมรับเงื่อนไขระหว่างประเทศ ซึ่งการประสานส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดและกระทรวงต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเราดำเนินการครบขั้นตอนจบที่กองการต่างประเทศได้แปลสำนวนการสอบสวนเป็นภาษาอังกฤษส่งมอบให้อัยการสูงสุด หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุด และกระทรวงต่างประเทศใที่จะต้องดำเนินการ