“ตู่-ธิดา-เหวง” ยกทีมพบ “สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” จี้ทำคดี “ชายชุดดำ” ให้ชัด เหตุจับเรื่องอาวุธสงคราม แต่ประโคมข่าว-ทำแผนจนคนเข้าใจผิดเป็นคดีฆ่า “พล.อ.ร่มเกล้า” เรียกร้องนำคดีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปี 2553 ทุกรายเข้าสู่กระบวนการสอบสวนคดีพิเศษ ไต่สวนตามประมลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเท่าเทียมกัน ไม่ปล่อยคนทำผิดลอยนวล แต่ผู้บริสุทธิ์ถูกกล่าวหาลงโทษทั้งที่ไม่ได้ทำความผิด
เมื่อเวลา 10.20 น.วันนี้ (18 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.), นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานแกนนำ นปช., นพ.เหวง โตจิรากร อดีตแกนนำ นปช. และนายอารีย์ ไกรนรา เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร.เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกกรณีที่มีการแถลงผลการจับกุมและทำแผนชายชุดดำในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ที่อ้างว่าอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดในประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าใจว่าชายชุดดำกลุ่มนี้ฆ่าทหาร รวมถึง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่ถนนดินสอ นอกจานี้ยังทำให้เข้าใจว่าการชุมชนของประชาชนที่เรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นากรัฐมนตรีในขณะนั้นยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเมื่อปี 2553 เป็นการชุมนุมที่มีกองกำลังอาวุธใช้ความรุนแรง
ทั้งนี้ นปช.ขอทำความเข้าใจและเรียกร้องต่อ พล.ต.อ.สมยศและคณะ ให้มีการแก้ไขการดำเนินการดังกล่าว ทั้งการสอบสวน การจับกุม และการทำแผน ให้เป็นไปตามหลักการของนิติรัฐนิติธรรมและตามความเป็นจริงทุกประการ โดย นปช.ขอตั้งข้อสังเกตต่อการแถลงข่าวคดีการจับกุมกลุ่มคนที่เรียกว่า “ชายชุดดำ” ดังต่อไปนี้ 1. การแถลงการณ์จับกุมชายชุดดำ 5 คน ทำให้สังคมเข้าใจว่าการกระทำของผู้ถูกจับกุม เป็นต้นเหตุให้ทหารและ พล.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิต แท้จริงตำรวจตั้งข้อกล่าวหาแต่เพียงว่าร่วมกันมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ พกพาอาวุธปืนและวัตถุระเบิดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่มีเหตุสมควร และเหตุการณ์ที่ท่านและคณะบรรยายมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว ไม่ใช่ที่ถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ที่ พล.อ.ร่มเกล้าและทหารเสียชีวิต เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่างที่ต่างเวลากันโดยสิ้นเชิง
2. สาเหตุการเสียชีวิตและบาดเจ็บของ พล.อ.ร่มเกล้า และทหารอีก 4 นาย ผลการสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่รัฐล้วนยุติว่าเกิดจากระเบิดแบบขว้าง M67 ปรากฏหลักฐานชิ้นส่วนระเบิดทั้งในร่างกายผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และหลักฐานที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุ ตรงกันว่าเป็นสะเก็ดระเบิด M67 ไม่ได้เกิดจากอาวุธและคณะบุคคลที่นำมาแถลงข่าวแต่ประการใด 3. ยังไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความอาญาที่ต้องชันสูตรพลิกศพทุกรายที่เสียชีวิตผิดธรรมชาติ กล่าวคือ ศพที่เป็นผลจากเหตุการณ์ 2553 ฝ่ายทางทหารมีเพียงศพของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ เท่านั้นที่มีการดำเนินการอย่างถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ศพของทหารรายอื่นยังไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญาแต่อย่างใด การเร่งสอบสวนและแถลงข่าวโดยไม่ผ่านการพิจารณาให้รอบคอบ เป็นการทำให้สังคมเข้าใจผิดในสาระสำคัญซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
4. การแถลงข่าวจงใจเจตนาให้สังคมเข้าใจว่าเป็นการก่อความรุนแรงตั้งแต่ปี 2553 กระทำต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปี 2557 โดยไม่แสดงความชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซ้ำยังข่มขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจอื่นไม่ให้พูดถึงที่มาของข้อมูล เป็นการครอบงำและบังคับให้สังคมเชื่อตามคำพูดของท่านและคณะอย่างลอยๆ ทั้งที่เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง นปช. จึงขอเรียกร้องต่อ พล.ต.อ.สมยศและคณะดังต่อไปนี้
1. ให้นำคดีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปี 2553 ไม่ว่าจะเป็นทหารเรือประชาชนทุกคน เข้าสู่กระบวนการสอบสวนโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และดำเนินการสืบสวน สอบสวน ไต่สวน ตามประมลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอย่างเคร่งครัด เที่ยงธรรม เท่าเทียมกันโดยเร็วที่สุดเพื่อมิให้สังคมสำคัญผิดในสาระสำคัญ และหาคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ไม่ปล่อยให้คนทำผิดลอยนวล และผู้บริสุทธิ์ต้องถูกกล่าวหาลงโทษ โดยไม่ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด 2.ไม่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน คุกคาม บีบคั้น ให้ผู้ถูกกล่าวหาสารภาพ โดยวิธีการละเมิดทางร่างกาย จิตใจ และสิทธิมนุษยชน พวกเขาต้องได้รับสิทธิ์ในการช่วยเหลือจากทนายความ ญาติ ตามบทบัญญัติของคำประกาศสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ และ 3. การแถลงข่าวผลการจับกุม การทำแผน ต้องกระทำโดยมีหลักฐานข้อมูลชัดเจน และแถลงอย่างเที่ยงตรง ไม่ใช่เป็นกลไกลเพื่อเป้าหมายและผลประโยชน์ทางการเมืองของบุคคลใดและคณะใด ซึ่งหมายถึงเป็นการทำลายความยุติธรรมของสังคม และความชอบธรรมของคดีความขัดแย้ง
นายจตุพรกล่าวต่อว่า จึงเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำคดีผู้เสียชีวิตในปี 2553 ทั้งทหารและประชาชนเข้าสู่กระบวนการสอบสวนโดยดีเอสไอ และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่ปล่อยให้คนผิดลอยนวล และไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน คุกคามผู้ถูกกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหารับสารภาพ โดยการแถลงข่าวผลการจับกุมและการทำแผนต้องกระทำโดยมีหลักฐานและข้อมูลชัดเจน ไม่ทำเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองใด พร้อมยืนยันว่ากลุ่ม นปช.ยินดีให้ความร่วมมือในการสืบสวนคดีทางการเมืองให้เป็นไปตามหลักฐานและกฎหมาย โดยย้ำว่าการเคลื่อนไหวของ นปช.เป็นไปอย่างสันติ สงบ ปราศจากอาวุธ ทั้งนี้ เราได้ถือประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 63 เรื่องการสร้างความยุติธรรมของหน่วยงานที่มีหน้าที่กระบวนการยุติธรรม เพื่อไม่ให้ปัญหานำไปสู่ความแตกแยกและความขัดแย้งของบ้านเมืองอีกครั้ง เพราะฉะนั้นในการอธิบายความในการทำหน้าที่ระหว่างกันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ต้องขอขอบคุณ พล.ต.อ.สมยศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายจตุพรออกมาแบบนี้จะถูกสังคมมองว่าเป็นการออกมาปกป้องชายชุดดำและเป็นพวกเดียวกัน นายจตุพรกล่าวว่า ไม่มีการปกป้อง ตนประกาศมาตั้งแต่ต้นว่าความตายของทหารและประชาชนไม่ว่าจะเป็นการกระทำของชายชุดใด สีเสื้อใด หากเป็นการทำให้ผู้อื่นตายจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และภาพชายชุดดำที่เกิดขึ้นนั้นมีปรากฏเพียงเหตุการณ์เดียวคือเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 และความตายหลังจากนั้นก็เกิดขึ้นอีกจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเราไม่มีภาระหน้าที่ที่จะปกป้องชายชุดดำ เพราะไม่ว่าชายชุดใดก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฆ่าคน ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชน หากกระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมยืนยันว่าทางแกนนำและกลุ่ม นปช.ไม่มีเคยรู้จักหรือเกี่ยวข้องกับชายชุดดำแต่อย่างใด เพราะเรามีจุดยืนที่ชัดเจนว่าเราเป็นองค์กรที่ต่อสู้ทางการเมือง ต่อสู้ทางความคิด ไม่ใช่เป็นองค์กรที่ต่อสู้ทางการทหาร และขอเรียกร้องให้ตำรวจสืบหาผู้กระทำความผิดที่แท้จริงมาลงโทษให้ได้
เมื่อถามถึงกรณีที่นายธนเดช เอกอภิวัชร์ หรือไก่ รถตู้ คนขับรถตู้ในวันก่อเหตุเมื่อปี 53 ที่ยังหลบหนีอยู่นั้น โดยมีข้อมูลเปิดเผยว่าเมื่อปี 53 มารดาของนายธนเดชได้เสียชีวิต และมีรายชื่อของแกนนำ นปช.ได้ส่งพวงหรีดไปให้ นายจตุพรกล่าวว่า ในเรื่องนี้ต้องขอให้ไปถามคนที่ส่งพวงหรีด เพราะตนไม่ได้ส่งไป จึงไม่รู้ว่าคนที่ส่งไปนั้นรู้จักกันในฐานะอะไร เพราะเรื่องพวงหรีดเมื่อเวลามีคนเสื้อแดงถึงแก่ชีวิตก็จะมีการขอพวงหรีดไปทางใครต่างๆ เพราะฉะนั้นควรจะไปถามคนที่มีชื่อในพวงหรีดมากกว่าว่าส่งไปร่วมในฐานะอะไรจะทำให้ได้ความจริงมากกว่า ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องและไม่รู้จักกับกลุ่มชายชุดดำ ขณะที่มั่นใจว่าจะไม่สร้างความขัดแย้ง เพราะเป็นการออกมาตามกรอบกติกาไม่เป็นการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง
ด้าน พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า วันนี้นายจตุพรได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงตนให้ช่วยดูแลหรือดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีต่างๆ ที่เป็นคดีความมั่นคงให้อยู่บนพื้นฐานหรือหลักนิติธรรมและความถูกต้อง ตนได้ชี้แจงกับนายจตุพรว่าตำรวจและพนักงานสอบสวนทุกท่านได้ยึดหลักและแนวนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าการดำเนินคดีหรือดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต่างๆ และทุกฝ่าย ให้ทำด้วยความเสมอภาค ยึดถือหลักยุติธรรม ความถูกต้อง ไม่มีการให้ร้ายป้ายสีหรือกลั่นแกล้งอย่างเด็ดขาด โดยชี้แจงว่าคดีหลายคดีที่มีความสงสัยกันเป็นคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ ไม่เกี่ยวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือตำรวจ
พล.ต.อ.สมยศกล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการคดีชายชุดดำนั้นไม่เคยพาดพิงถึงกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลัง และไม่เคยกล่าวว่ากลุ่มชายชุดดำเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า เพียงแต่จับกุมในข้อหาครอบครอบอาวุธสงครามเท่านั้น อีกทั้งจุดเกิดเหตุก็อยู่คนละจุดกับที่ พล.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิต แต่ถ้าหากการสอบสวนขยายผลว่ามีความเชื่อมโยงเจ้าหน้าที่จะดำเนินการโดยเด็ดขาด พร้อมยืนยันเจ้าหน้าที่ไม่เคยคุกคามบีบคั้นหรือทำร้ายร่างกายผู้ถูกกล่าวหาให้รับสารภาพ และพร้อมให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
นอกจากนี้ คดีทางการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นความรับผิดชอบของดีเอสไอ รวมถึงคดีการชุมนุมทางการเมืองเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ด้วย คดีชายชุดดำของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่หากทางกรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนแล้วมีความเกี่ยวโยงกัน ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถเข้ามาตรวจสอบต่อได้ ทั้งนี้นายจตุพรก็พอใจในการชี้แจงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ