ข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งโดยปฏิบัติการของตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.)บุกเข้าจับกุม นส.พรรณพิลาส ปัดถาวะโร อายุ 22 ปีกับ น.ส.สุภาดา บุญสิทธิ์ อายุ 29 ปีในข้อหาค้าประเวณี เหตุเกิดโรงแรมซาลีน่า รีสอร์ท อ.เมือง อุดรธานี ซึ่งดูจากคลิปภาพที่นำออกมาเผยแพร่หญิงสาวทั้งสองนุ่งห่มเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวโดยรายละเอียดของข่าวมิได้แจ้งว่ามีบริการทางเพศกันก่อนหน้าหรือไม่
เจ้าหน้าที่ยังเปิดเผยด้วยว่า การวางแผนจับกุมครั้งนี้มาจากตรวจพบว่า บุคคลชื่อ "วรรถกิจ ภักดีมา" อาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่โดยตั้งกลุ่มไลน์ให้กับชายชอบสนุก ส่งรูปและรายละเอียดของสาวๆ ในสังกัดเพื่อเลือกตามสเปก จากนั้นจะโอนเงินรายละ 2 พันบาทเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม ตำรวจบอกด้วยว่าเมื่อทราบเรื่องจึงวางแผนโอนเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีแต่ที่เหลือได้ถ่ายเอกสารไว้และใช้วิธีล่อซื้อจนสามารถจับกุมได้
เมื่ออ่านผ่านๆ เดากันว่าผู้เสพข่าวคงมีความคิดเห็นต่างกันไป บางคนอาจจะชาชินกันเรื่องราวทำนองนี้ บางคนอาจรู้สึกตะหงิดๆ กับวิธีจับของตำรวจ เพราะการล่อซื้อค้าประเวณีนั้นดูเป็นการหาพยานหลักฐานเล่นงานผู้ทำผิดกฏหมายอย่างไม่แฟร์
ต่างกับคดีล่อซื้อยาเสพติดซึ่งอย่างไรเสียสังคมอนุโลมและยอมรับได้กับการสืบค้นหาพยานหลักฐานด้วยวิธีนั้น และดูเหมือนจะได้ผลดีสมควรกับการใช้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันกับขบวนการค้ายาเสพติด
แต่สำหรับการค้าประเวณี อันนี้มีเส้นแบ่งบางๆ มากั้นอยู่เพราะถ้าทำกันอย่างพร่ำเพรื่อ จับกันอย่างเอาเป็นเอาตายหลักรัฐศาสตร์ก็คงไม่จำเป็นกับบ้านเมืองนี้อีกต่อไปคือทุกอย่างทุกกรณีต้องถูกกฏหมายเป๊ะ เอานิติศาสตร์นำหน้า ปัญหาอื่นๆตามมาอย่างมากมายหมกไว้ข้างหลัง....ถ้ายังจำกันได้กรณีของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตราชาอ่าง ปัจจุบันเป็นนักการเมือง(ว่างงาน)เคยฟัดกับตำรวจจนเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว เหตุก็คือเขาดันไปเปิดโปงขบวนการส่วยตำรวจในยุคนั้นอย่างหมดจดล่อนจ้อนจนทำให้สถานอาบ อบ นวดแห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาฯ ถูกตำรวจวางแผนล่อซื้อการค้าประเวณี
แต่ปรากฏว่าคดีนี้ศาลอาญาได้ตัดสินยกฟ้อง เนื่องจากเชื่อว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่มาจากเจตนาไม่บริสุทธิ์
วันเวลาผ่านไปแต่ปฏิบัติการของตำรวจไทยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงไม่ว่าจะเป็น บก.ปคม.หรือหน่วยงานอื่นๆ ก็ยังคงใช้วิธีล่อซื้อค้าประเวณี อย่างต่อเนื่อง ตำรวจใช้บ่อย กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอก็ยังใช้เช่นคดีใช้เงิน 1 แสนบาทล่อซื้อการค้าประเวณีที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ผู้ต้องหาหลายคนรวมทั้งเด็กสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2554 หรือผลงานของ คสช.ร่วมฝ่ายปกครองเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2557 ใช้วิธีล่อซื้อการค้าประเวณีจับผู้เกี่ยวข้องทั้งแม่เล้า ทั้งคนขายบริการครบชุดเหตุเกิดที่ 999 รีสอร์ท จ.กาฬสินธุ์
คราวนี้ลองมาติดตามพฤติการณ์ของตำรวจบางคนที่ใช้หน้าที่การงาน และกฏหมายปรามการค้าประเวณี ทำมาหากินอย่างน่ารังเกียจและน่าหวั่นใจโดยเฉพาะกลุ่มชายรักสนุก กลุ่ม "เสี่ยหัวงู"ที่ชอบเด็กเอ๊าะๆวัย 16-17 อันเป็นเป้าหมาย วิธีที่นิยมที่สุดก็คือใช้แม่เล้าเป็นนางนกต่อ แม่เล้าที่ว่ามีทั้งสาวประเภทสอง กับหญิงแท้ พวกนี้จะเลือกเหยื่อเป็นเสี่ยขาจร ประกอบด้วยนักท่องเที่ยว นักธุรกิจหรือไม่เว้นแม้แต่ข้าราชการ จังหวัดที่นิยมวางงานกันก็คือเมืองท่องเที่ยวต่างๆเช่นภาคกลางที่นครสวรรค์ ภาคเหนือเริ่มที่พิษณุโลก ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย ภาคอีสาน อย่างนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรฯเป็นต้น ส่วนภาคใต้มีที่สุราษฎร์ธานี สงขลา และภูเก็ตเป็นต้น
ปฏิบัติการขั้นแรกคือการแฝงตัวไปตามสถานบริการ ผับ บาร์ ร้านอาหาร หรือโรงแรมห้าดาวประจำจังหวัด เหยื่อจะต้องแต่งกายภูมิฐาน มีเครื่องประดับเช่นสร้อย แหวน เลส นาฬิการาคาแพง เมื่อตีสนิทเรียบร้อยแล้วก็จะมีการชักชวนให้ไปหลับนอนกัน
...ตัวอย่างรายหนึ่งเกิดขึ้นจริงในจังหวัดนครสวรรค์ มีเซียนพระจากกรุงเทพฯไปร่วมงานเพื่อน และติดกับนางนกต่อแม่เล้ากระเทย พอขึ้นไปหลับนอนเสร็จกิจแล้วตำรวจชุดตบทรัพย์ก็จะจู่โจมไปที่ห้องพักทันทีโดยกำลังส่วนหนึ่งจะเฝ้าตรงบันไดหนีไฟและช่องลิฟต์เพื่อมิให้เหยื่อหนีออกมาได้
คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เมื่อตำรวจเข้าไปในห้อง หลักฐานต่างๆเช่นถุงยางอนามัย (ใช้แล้ว)กับเด็กสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีคู่นอนชั่วคราวที่ใช้เงินซื้อมาตอนนี้กลายเป็นพยานหลักฐานอย่างดี การเจรจาผ่านไปอย่างราบรื่น ทั้งกลัวติดคุก กลัวเสียชื่อ กลัวเมียจับได้ เซียนพระกลุ่มนี้ว่ากันว่ามีด้วยกันประมาณ 4-5 คนเจอแก๊งตำรวจชั่วรีดเงินไปคนละ 5 หมื่นบาทจนถึง 1 แสนเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี...
ทุกวันนี้ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวนครสวรรค์ และบังเอิญนั่งดื่มกินในล็อบบี้โรงแรมระดับห้าดาว หากเห็นเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินหัวร่อต่อกระซิกไปกับกลุ่มเฒ่าหัวงู และสักครู่จะมีรถตำรวจเปิดไฟวาบๆ เข้ามา และกรูเข้าไปปิดช่องทางหลบหนีทั้งลิฟต์และบันไดหนีไฟ ก็ให้สันนิษฐานได้ว่านั่นคือปฏิบัติการล่อซื้อค้าประเวณี ฉบับใหม่ อันเป็นแบบฉบับที่ตำรวจเลวๆ บางคนเท่านั้นที่จะทำได้
กลับมายังเรื่องล่อซื้อการค้าประเวณี ของเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างผลงานกันอีกครั้งโดยขออ้างอิงรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนด้านเอดส์ ประจำปี 2554 โดยมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ มาเทียบเคียงกัน...พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2553 มาตรา 5 เขียนไว้ว่า "ผู้ใดเข้าติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว ติดตามหรือรบเร้าบุคคลตามถนนหรือสาธารณะสถาน หรือกระทำการดังกล่าวในที่อื่นใดเพื่อการค้าประเวณีอันเป็นการเปิดเผยและน่าอับอาย หรือเป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่สาธารณะชน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 พันบาท" มาตรา 6 "ผู้ใดเข้าไปมั่วสุมในสถานการค้าประเวณีเพื่อประโยชน์ในการค้าประเวณีของตนเองหรือผู้อื่นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
กฎหมายทั้งสองมาตรา เปิดช่องให้ตำรวจบางคนในบางพื้นที่ใช้กฎหมายนี้อย่างไม่เป็นธรรม เช่นเรียกจับและตรวจค้นพนักงานบริการบนถนนสาธารณะ หรือใช้วิธีล่อซื้อบริการทางเพศแล้วจับกุมเรียกร้องค่าปรับเป็นเงิน หรือขอมีเพศสัมพันธ์แทนจ่ายเงินค่าปรับทั้งๆที่ตามกฎหมายแล้วการล่อซื้อบริการทางเพศเพื่อจับกุมกระทำไม่ได้เพราะมีความผิด แต่ไม่มีการลงโทษตำรวจที่กระทำดังกล่าว
การละเมิดพนักงานบริการโดยเจ้าพนักงานในลักษณะล่อซื้อจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
นี่คือรายละเอียดบางตอนของรายงานชิ้นนี้....ตำรวจในยุคเตรียมปฏิรูป รวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องทุกคน หากมีโอกาสอ่านข้อเขียนชิ้นนี้ท่านจะเปลี่ยนวิธีคิด หริอวิธีจัดการกับการค้าประเวณีกันอย่างไรเพราะอย่าลืมว่าสาวๆทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ที่หล่อนลงทุนขายสมบัติติดตัวชิ้นสุดท้ายที่แม่ให้ติดตัวมานี้ก็ย่อมมีเหตุผลในแต่ละคนไป แต่แน่ล่ะทุกคนไม่ยอมอดตาย และทุกคนย่อมอยากให้ผู้อยู่รอบข้างเช่นพ่อ แม่ พี่น้อง ลูกเต้าสุขสบายได้มีโอกาสทางสังคม มีอยู่มีกิน มีบ้านหรือมีสถานะอันเป็นที่ยอมรับ....
ในความห่วงใยที่ท้วงติงวิธีการไม่แมนเยี่ยงนี้ยังขยายไปถึงความเจนจัดในฐานะผู้บังคับใช้กฏหมาย ลามไปถึงแก๊งตบทรัพย์เสี่ยหัวงูซึ่งเป็นอีกรูปแบบของขบวนการ “ล่อซื้อการค้าประเวณี” จึงเห็นว่าผู้มีอำนาจในบ้านในเมืองควรคิดใหม่ทำใหม่กันเสียที
อย่าปล่อยให้ขบวนการสร้างผลงาน ท่ามกลางสายตาดูแคลนของประชาชน หรือขบวนการตบทรัพย์วงการน้ำกามลอยนวลอีกต่อไป