เห็นหนุ่มมากความสามารถ “เกลือ- กิตติ เชี่ยววงศ์กุล” ที่นอกจากจะเป็นนักแสดง นักเขียนบท และผู้กำกับละครสุดฮ็อตแล้ว ล่าสุดเขายังออกมาร่ายบทกวีการเมืองในฐานะ “กวีตีสาม” แถมยังขึ้นเวทีไปเล่นละครล้อการเมืองที่เวทีชิดลมนิวส์จนกลายเป็นกระแสครึกโครม
เราจึงพาเขามาเปิดใจถึงที่มาที่ไปของบทบาทใหม่นี้ อ่านแล้วต้องบอกว่าทึ่งในหัวใจรักชาติและสถาบันของเขาจริงๆ
ที่มาของ “กวีตีสาม” เกิดขึ้นมาได้ยังไง
เริ่มแรกเกิดขึ้นจากงานอดิเรกของผมเอง คือ ผมมาเริ่มหัดเขียนกลอนมาได้ประมาณหนึ่งปีแล้ว ช่วงแรกเขียนเป็นกลอนแปดบ้าง โครงสี่สุภาพบ้าง กาพย์ยานี 11 บ้าง ทีแรกก็เขียนเรื่องทั่วไป ตอนหลังถึงมาเขียนเรื่องการเมืองอย่างที่เห็น พอเขียนกลอนเสร็จก็จะแปะลงในอินสตาแกรมก่อน พอแปะไปเรื่อยๆ เริ่มเกรงใจคนในอินสตาแกรมว่าเขาเอาไว้ดูรูปภาพนี่หว่า แต่เราแปะแต่กลอน ตอนหลังถึงเปลี่ยนมาแปะกลอนไว้ในเฟ๊ซบุ๊คที่ตั้งเป็นแฟนเพจแทน ตั้งแฟนเพจชื่อว่า “กวีตีสาม” แต่ก็มีคนมาถามว่า ทำไมหลังๆ ไม่โพสต์กลอนบ้าง (หัวเราะ) ผมเลยต้องโพสต์กลอนลงทั้งในอินสตาแกรมและแฟนเพจ
ส่วนที่มาของชื่อ “กวีตีสาม” เกิดจากผมมักจะได้ไอเดียดีๆ ในการแต่งกวีช่วงประมาณตีสาม เลยกลายเป็นที่มาของชื่อครับ (หัวเราะ)
แล้วทำไมถึงเลือกใช้กลอนสื่อแนวคิดทางการเมือง
ผมว่าการเขียนกลอนคือการได้ระบายความในใจอันไพเราะเสนาะหู แล้วบางครั้งการเมืองเป็นเรื่องของความรุนแรง ถ้าเราพูดไม่เข้าหูใครมากๆ ก็อาจเจอคนต่อว่า หรือกลายเป็นว่าพูดอะไรก็พูดได้ ดังนั้นเราควรคิดก่อนพูด ถ้าเราคิดดีแล้ว เชื่อแล้วในสิ่งที่พูดและกลั่นกรองมาเป็นบทร้อยกรองแล้ว แสดงว่าเราคิดมาแล้วประมาณหนึ่งว่ามันใช่ ผมเลยเลือกจะเขียนออกมาเป็นกลอน
ถามว่ากลัวฟีคแบ็คตอบรับไหม ผมไม่เคยกลัวเลย เพราะรู้สึกว่านี่คือประชาธิปไตย เราต้องพูดหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้ เพราะรัฐบาลเกิดจากประชาชน ประชาชนเป็นคนเลือก ฉะนั้นถ้าเรื่องอะไรที่ประชาชนไม่เห็นด้วย ผมก็จะเป็นหนึ่งในเสียงนั้นที่จะบอกว่า “เฮ้ย ไม่เห็นด้วย” หรือไม่ชอบเรื่องอะไร
ความจริงที่เมืองนอก เขาก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์การเมืองได้เป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยความที่ตอนนี้การเมืองไทยร้อนแรง คนมักจะสอนกันว่าอย่าคุยกันเรื่องการเมือง ซึ่งผมคิดว่าความเชื่อแบบนี้ทำให้ประเทศแย่ เพราะกลายเป็นว่าประชาชนพูดอะไรไม่ได้ เห็นต่างไม่ได้ ปัญหาที่ตามมา คือ ถ้าเราพูดไม่ได้ เราก็จะปล่อยให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ แล้วถ้าถึงตอนนั้นประเทศเราจะอยู่ยังไง ผมเลยเลือกที่จะแสดงความเห็นการเมืองของผมออกมา
มีเรื่องไหนที่คุณรู้สึกทนรัฐบาลไม่ไหวบ้าง
โห มันเยอะมาก (หัวเราะ) อย่างเรื่องรถไฟความเร็วสูง มันตลกตรงที่ผมเชื่อว่าสักวันเราก็จะมีรถไฟความเร็วสูง ประเทศจีนจะทำให้เราไม่ใช่เหรอ โดยที่เราไม่ต้องใช้ภาษีของคนไทยด้วยซ้ำ แล้วเราจะไปกู้เงินมาทำทำไม เรื่องนี้คงจะปัญญาอ่อนพอๆ กับรถเมล์เช่าหรือรถเมลซื้อเหมือนกัน เพราะค่าเช่าแพงกว่าซื้อ แต่รัฐบาลไม่ยอมซื้อแต่กลับเช่าแทน มันเป็นเรื่องตลก ๆ ที่ชาวบ้านฟังแล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นอย่างนี้เนี่ย”
นอกจากนั้น ผมไม่ชอบนโยบายขายฝัน เช่น เรื่องจำนำข้าว มันจะเป็นจริงไปได้ยังไง ถ้าซื้อข้าวแพงแล้วขายถูก สิ่งที่รัฐบาลทำเป็นการอุ้มชูชาวนาใช่ไหม โอเคช่วยได้ครับ แต่ประเทศชาติหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป ถ้าคิดจะช่วยชาวนา ผมว่าให้เงินเขาไปเลยดีกว่าไหม จะได้ไม่ต้องมานั่งคลางแคลงใจกันด้วย ทุกวันนี้ชาวนาฆ่าตัวตายไปแล้วหลายคน คุณเอาเขามาเป็นพรรคพวก แล้วทิ้งขว้างเขาอย่างนี้เหรอ ผมไม่อยากให้สังคมไทยเป็นอย่างนี้
นอกนั้น ทุกวันนี้เราใช้น้ำมันเติมแพงกว่าต่างประเทศอีก เราโดนหลอกว่าประเทศเราผลิตน้ำมันไม่ได้ แต่ความจริงเราผลิตน้ำมันได้และส่งไปขายต่างประเทศ ถือเป็นการเอาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไปสร้างผลประโยชน์ให้กับบุคคลอื่น ซึ่งบางครั้งเป็นต่างชาติด้วย แล้วอย่างนี้ถือว่ายุติธรรมแล้วเหรอ ทำไมเราถึงได้ใช้น้ำมันแพง แล้วราคาน้ำมันก็มีแต่ขึ้นๆๆๆ ผมเลยสงสัยว่าทำไมเราทนกันอยู่ได้ ทำไมเราไม่ออกมาเรียกร้องอะไรอย่างนี้บ้าง
ตั้งแต่แต่งบทกลอนมา มีบทไหนที่คุณรู้สึกชอบมากที่สุด
ทุกวันนี้เราต้องยอมรับว่ามีคนคิดล้มล้างสถาบัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำคือ คนล้มล้างสถาบันทุกคนเป็นเสื้อแดง แต่คนเสื้อแดงทุกคนไม่ใช่คนล้มล้างสถาบัน เพราะผมเชื่อว่ายังมีเสื้อแดงบางคนที่รักในหลวงอยู่ แต่ที่เห็นได้ชัดคือ บุคคลที่คิดล้มล้างสถาบันทั้งหมดนั้นเป็นคนเสื้อแดง อันนี้ต้องยอมรับนะครับ จะให้ผมเปิดเพจให้ดูก็ได้ คือเห็นกันอยู่ตำตา เพราะฉะนั้นอย่ามาทำเป็นมองข้ามเรื่องนี้ ดังนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องของการเมืองแล้ว แต่เป็นเรื่องของสถาบันที่ผมรักมากที่สุด
ดังนั้นกลอนที่ผมเขียนจะพูดถึงเรื่องนี้เยอะ มีเรื่องของการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนหนึ่งที่ผมทนไม่ไหวจริงๆ และออกมาต่อสู้ครั้งนี้ คือเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วผมก็ไม่สนใจด้วยว่าคนจะมองว่าเราโหนเจ้า
กลอนที่แต่งแล้วชอบๆ เช่น กลอนที่เขียนว่า
หากพรุ่งนี้ ฉันตาย อย่าได้ร้อง
ขอจงมอง ที่ร่างฉัน กันเถิดหนา
ว่าร่างนี้ จะปกป้อง องค์ราชา
จะรักษา เกียรติพระองค์ จนวันตาย
หากเธออยู่ วันพรุ่งนี้ ช่วยทีเถิด
ช่วยกันเทิด สถาบัน อย่างฉันหมาย
อย่าให้ใคร มาเหยียบย่ำ ใจคนไทย
เชิดธงไตร ไปสู่มือ ลูกหลานเรา
ลุกมาแสดงออกการเมืองอย่างนี้ เจอกระแสต่อต้านยังไงบ้าง
มีบ้างครับ อย่างเช่นในแฟนเพจของผม จะมีคนเข้ามาบอกว่า “พวกไพร่ ไอ้พวกกบฏ ไร้ยางอาย พวกหนักแผ่นดิน ไม่รักษากติกา พวกอันธพาล ชอบใช้ความรุนแรง” เขาชอบมาด่าอย่างนี้ ถ้ามาแบบเข็ดฟันมากๆ ผมก็ตอบโต้กลับ แต่จะไม่ตอบโต้ด้วยคำรุนแรง เพราะไม่ชอบการพูดคำหยาบ
บางคนเขียนมาว่า “สุเทพ หาทางลงแล้ว พวกคุณก็หาทางลงกันเอาเองแล้วกัน” ผมก็จะตอบไปว่า “ผมอยู่บนนี้สบายดีแล้ว อย่าชวนผมลงเลยครับ ลงไปจะร้อนเปล่าๆ“ (หัวเราะ) คือ ตอบแบบกวนๆ ไปบ้าง ผมกล้าตอบ เพราะใช้วิธีคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกับผมจริงๆ เลยกล้าพูด
ความจริงผมเป็นคนอุดรฯ นะ แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุด คือคนชอบพูดจังหวัดผมเป็นคนเสื้อแดง ถามว่าผมรู้จักคนเสื้อแดงเยอะไหม ผมรู้จักคนเสื้อแดงเยอะแยะนะ พี่ๆ ที่รู้จักกันทุกวันนี้ยังชัดเจนว่าตัวเองเป็นเสื้อแดง หน้าเพจเขาก็จะแปะแต่ข่าวเสื้อแดง ส่วนหน้าเพจผมก็จะแปะแต่ข่าวกปปส. แต่พอเจอกัน เราก็คุยกัน ไม่ได้ด่ากัน ส่วนใหญ่เราจะคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่า
ชัดเจนว่าอยู่ฝั่งไหนแบบนี้ ทำให้มีปัญหากับที่บ้านไหม
แม่ผมเป็นกลุ่มเสื้อแดง บางทีก็มีทะเลาะกัน ท่านจะบอกว่า “นักการเมืองก็เลวเหมือนกันหมดแหล่ะ” ส่วนผมก็จะว่า “ใช่แล้ว ถ้าคิดว่าเลวหมดทุกคนแล้วเราจะอยู่ยังไง เราจะยอมให้เขาโกงอย่างนี้เหรอ แต่ผมไม่ยอมไง ก็ต้องสู้”
บางทีแม่ผมจะบอกว่า “ประชาธิปัตย์มันทำอย่างนี้นะๆ มันโกงอย่างนี้ๆ” ส่วนผมก็จะบอกว่า “มาดูเพื่อไทยทำอะไรบ้าง” แฉกันไปมา ทีนี้พอลูกข้อมูลเยอะกว่า ลูกเริ่มรุม แม่เลยเริ่มเงียบล่ะครับ (หัวเราะ)
แล้วเริ่มไปมีส่วนร่วมแสดงละครเวทีล้อการเมืองที่เวทีชิดลมนิวส์ได้ยังไง
ตอนแรกผมปฏิญาณตนเองว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเวทีใดๆ ทั้งสิ้น ทีแรกผมไปในประชาชนคนหนึ่งที่ได้ไปร่วมชัตดาวน์กรุงเทพ แล้วเดินผ่านเวทีเล็กๆ ที่ชื่อว่าชิดลม เห็นเวทีนั้นเปิดเป็นเวทีศิลปะที่ไม่ได้คิดว่าจะมีการเมืองเกิดขึ้น แบบว่าใครอยากแสดงอะไรก็แสดง อยากจะทำอะไรก็ทำ แล้วตอนนั้นเวทีมันถูกทิ้งไว้เปล่า ๆ พี่ที่ทำเวทีเลยบอกว่าช่วยหาคนมาขึ้นหน่อย
วันนั้นผมนั่งกินข้าวกับพี่เหมี่ยว- ปวันรัตน์ (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) อยู่ที่เซ็นทรัลชิดลม เลยนั่งคุยกันว่าจะเอายังไงดี เราไปช่วยเวทีชิดลมกันหน่อย มาคิดว่าเล่นละครล้อเลียนการเมืองดีไหม คือ ล้อเลียนเหมือนที่การ์ตูนล้อเลียน แต่เราจะพูดความจริงที่มันฟังแล้วตลก และถามแทนใจชาวบ้าน เล่นแทนใจชาวบ้าน เพราะบางทีเราเจอข้อมูลข่าวสารบางอย่างแล้วเรารู้สึกอัดอั้น แต่เปลี่ยนมามองให้เป็นเรื่องตลกซะ เพื่อให้ทุกคนคลายเครียดกัน ผมเลยช่วยกันเขียนบทกับพี่เหมี่ยว ช่วยกันโยนมุกกันไปมา
ฟีคแบควันแรกที่เล่นละครเวทีเป็นอย่างไร
วันแรกที่เล่นละครเป็นวันชัตดาวน์กรุงเทพ พอเล่นแล้วคนก็เฮ คนเริ่มมาดู ทุกคนบอกว่าสนุก เฮ้ยเปิดอีกรอบ ก็เลยเปิดแสดงรอบบ่ายอีก ตอนหลังพี่เหมี่ยว -ปวันรัตน์ บอกคนชอบ และได้พี่ท็อป-ดารณีนุช (ดารณีนุช โพธิปิติ) มาประกบเพิ่มอีก ทีนี้เราเลยเปลี่ยนเป็นเวทีชิดลมนิวส์ไป พอเริ่มมีโชว์ไปเรื่อยๆ ดารา หลายคนก็ขึ้นมาเล่นด้วย
บทที่เล่นต้องคิดใหม่ตลอด แต่ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย แค่อ่านข่าวแล้วเห็นอะไรที่มันตลก เราก็เอามาเล่น บางครั้งการเมืองเป็นเรื่องตลกอย่างน่าปวดร้าว คือ มันตลกกว่าชีวิตจริง ตลกกว่าละครที่เราเขียน เช่น เรื่องที่เราเห็นแกนนำเสื้อแดงพยายามบอกทุกคนว่าถังแก๊ซที่โยนเข้าไปในกองเพลิงคือถังดับเพลิง เรื่องอดีต ส.ส.คนหนึ่งที่โดนต่อยตอนไปเลือกตั้ง แล้วมีลูกเป็นคนถ่ายวีดีโอ เรื่องของแกนนำที่สามารถบอกทุกคนให้เผาเมือง แต่พอเขาเป็นรัฐบาล ก็บอกว่าเขาพูดเล่นเป็นสีสันการเมือง เรารู้สึกว่ามันตลก
หรือเราเห็นนายกฯ หย่อนบัตรเลือกตั้งผิด ซึ่งผมไปนั่งเล่าให้เพื่อนฝรั่งฟังว่า “มึงรู้รึว่าเปล่าประเทศกู นายกฯ หย่อนบัตรเลือกตั้งสลับกล่อง” เพื่อนฝรั่งบอก “What the Fuck!“ มันตลกไปไหมครับ
ผมเห็นแกนนำออกมาแก้ต่างให้นายกฯว่า เป็นความผิดของ กกต.ที่สลับกล่อง คือนายกฯ ไม่ผิด แต่กล่องผิด วิธีคิดแบบนี้ ไม่ตลกเหรอครับ แล้วเราจะทนกันอยู่อย่างนี้เหรอ ผมเลยเอาเรื่องขำๆ เหล่านี้มาเล่าให้มันตลกบนเวที
ความจริงมุกตลกเกี่ยวกับคุณยิ่งลักษณ์ ผมรู้สึกเอ็นดูท่านนะ เพราะบางทีเหมือนว่าท่านทำอะไรที่เราเห็นแล้วรู้สึกว่า โถๆๆๆๆ (ลากเสียง) น่าเห็นใจท่านครับ ไม่มีใครชอบให้คนด่าขนาดนี้หรอก สงสารท่านในฐานะที่เป็นผู้หญิงและต้องมาโดนคนว่าเยอะขนาดนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ มันเหนื่อยไหม ลงมาไหม คือ รู้สึกขำปนสงสารและเอ็นดูท่านด้วย (หัวเราะ)
พอได้มีส่วนร่วมแสดงออกทางการเมืองอย่างนี้ มีเรื่องไหนที่คุณประทับใจที่สุด
ผมประทับใจวันที่ศรส.ประกาศว่าจะออกหมายจับนักแสดงที่มาร่วมแสดงล้อเลียนการเมืองบนเวที วันนั้นรู้สึกว่าเราโดนขู่ คิดว่าเราแค่แสดงออกในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เพื่อแสดงจุดยืนทางการเมือง แล้วดาราไม่ใช่ประชาชนเหรอ ถ้าดาราออกมาทำอย่างนี้แล้วโดนจับ ก็แสดงว่าประชาชนทุกคนในม็อบจะต้องโดนจับด้วยใช่ไหม ทำไมต้องมาเจาะจงออกหมายจับเฉพาะอาชีพเรา อาชีพเราไปทำอะไรผิดเหรอครับ ก็แค่มีคนรู้จักเยอะเท่านั้นเอง
วันนั้นผมเลยเขียนกลอนเกี่ยวกับเรื่องการจับดารา และตัดสินใจไปขึ้นเวทีชิดลมนิวส์อีกครั้ง ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะขึ้นเวทีครั้งเดียวพอแล้ว วันนั้นผมเจอพี่ๆ ทุกคนที่เป็นนักแสดงเดินเข้ามากอดกันแล้วบอกว่า “ เราจะไม่ทิ้งกัน เราจะอยู่ด้วยกัน” ผมเห็นพี่ตุ๊ก-ญาณี (ญาณี จงวิสุทธิ์) เดินถือเสื้อผ้าเข้ามา มีช่างหน้าช่างผมมาเอง แล้วโยนบทมาว่า “นี่บทฉัน ฉันจะเล่นเป็นนายกฯ” ส่วนคนอื่นๆ บอกว่า “ถ้าพี่ขึ้นเวที พี่จะเป็นกบฏนะ พวกผมขึ้นไปแล้วไม่เป็นไร ให้พวกผมขึ้นเหอะ” แต่พี่ตุ๊กบอกไม่ “ถ้าพวกแกโดน ฉันก็จะโดนด้วย เราจะโดนข้อหากบฎด้วยกัน” ผมจึงรู้สึกว่าพี่ๆ ทุกคนไม่ทิ้งเรา
วันนั้นจึงเป็นวันที่ผมได้เห็นพลังของคำว่า “ศิลปิน” จริงๆ ซึ่งผมคิดว่าศิลปิน คือคนที่กล้าและเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง กล้าที่จะฝ่าตัวเองเข้าไปในน้ำที่เชี่ยวอยู่ เพื่อยืนหยัดความเป็นตัวตนของตัวเอง เลยรู้สึกภูมิใจแทนศิลปินทุกท่านที่อยู่ในม็อบของกปปส. ครั้งนี้มากครับ
ที่ผ่านมา มีโอกาสไปร่วมม็อบประเภทฝ่าแก๊สน้ำตาหรือกระสุนปืนบ้างไหม
ไม่เลยครับ ผมบอกชัดเจนกับพี่น้องทุกคนเสมอว่า ถ้ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ผมจะวิ่งหนี และผมก็อยากให้ทุกคนวิ่งหนีด้วย แล้วหลังจากนั้นเราจะกลับมาสู้ใหม่ด้วยวิธีการต่อสู้แบบอหิงสา การต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้ เราไม่ควรจะต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่ว่าจะฝ่ายไหนทั้งสิ้น เพราะมันขัดแย้งกับคำว่าประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ถ้าท่านยิงแก๊สน้ำตาใส่ผม ผมจะวิ่งหนี และเชื่อว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น ผมจะกลับมายืนอยู่ที่เดิม เพื่อต่อสู้ใหม่ แล้วผมไม่ได้เกิดมาเพื่อจับปืน หรือใช้ความรุนแรง เพราะทำไม่เป็น แต่ผมจะทำละครล้อเลียนท่านต่อไป ซึ่งสิ่งนี้แหละเป็นวิธีทางของผม
มีเหตุการณ์ครั้งไหนที่ทำให้คุณรู้สึกสลดใจที่สุด
ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์เสียเลือดเสียเนื้อครับ จากเดิมที่เราคิดว่าเป็นเรื่องที่เราเถียงกัน จนวันหนึ่งมายิงปืนใส่กัน ขู่ฆ่ากันมา ผมรู้สึกว่า “เฮ้ย ต้องทำถึงขนาดนั้นแล้วเหรอ” ต่อให้เรามีความคิดต่างกัน อีกฝ่ายก็ยังเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ควรที่จะถึงขั้นตามเอาชีวิตกัน ทำร้ายกัน เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องในมนุษย์ที่เจริญแล้วครับ
คิดยังไงที่หลายคนบอกว่าทุกวันนี้ปัญหาการเมืองไม่หมดไป เพราะมีระบอบทักษิณฝังอยู่เป็นรากเหง้าของสังคมไทยไปแล้ว
ผมว่าระบอบทักษิณ คือ ระบบหน้าด้านๆ เช่น ถ้าเราไปดูป้ายหาเสียงก่อนหน้านี้ เขาจะบอกว่า ”ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แต่ทุกวันนี้ดันปฏิเสธว่าคุณทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย อ้าวนั่นแสดงว่า คุณไม่มีจริยธรรมในการเป็นผู้นำเลย ผมเห็นด้วยกับ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ที่บอกว่าระบอบทักษิณ คือระบอบการคอรัปชันแบบเชิงลึก
แล้วการแก้กฎหมายจากผิดเป็นถูก ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรม กฏหมายที่ดีต้องถูกสร้างขึ้นจากศีลธรรม จริยธรรม แต่เหมือนว่าระบอบนี้ไปแก้ไขกติกาที่ไม่ถูกต้องให้กลายเป็นถูก แล้วยังมีหลายเรื่องที่เราสงสัยว่า “เฮ้ย ทำไมต้องเปลี่ยน ใครได้ประโยชน์เหรอ ประชาชนได้ประโยชน์จริงเหรอ”
คิดว่าคุณคงเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ไปเลือกตั้งใช่ไหม
ผมไม่ได้ไปครับ เพราะตั้งใจไม่ไปอยู่แล้ว รู้สึกว่าคำว่า “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” มันฟังเข้าใจง่ายนะ ดังนั้นการที่ผมไม่ไปเลือกตั้ง ก็คืออารยะขัดขืนอย่างหนึ่งที่จะบอกว่า เราควรปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
รู้สึกว่าแค่ปฏิรูปก่อน ทำไมคุณทำให้เราไม่ได้ ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงๆทำไมคุณไม่ทำ เลยคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันเสียเวลาเปล่า เพราะสุดท้ายแล้ว เราคงต้องเลือกตั้งใหม่อยู่ดี
ตอนนี้มีนักการเมืองคนไหนที่คุณรู้สึกแอนตี้บ้าง
ผมไม่อยากแอนตี้ใครนะ แต่ถ้าไม่ชอบ ผมจะพูดเลย อย่างผมไม่ชอบพฤติกรรมของคุณชูวิทย์ช่วงหนึ่ง (ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์) เห็นท่านแล้วผมรู้สึกว่าท่านตลก เพราะท่านพยายามจะสร้างอะไรไม่รู้ พยายามหาที่ยืนให้ตัวเองในทางการเมือง
อย่างเหตุการณ์ที่ท่านถูกต่อยตอนไปเลือกตั้ง มันแปลกว่าท่านเป็นส.ส.ที่เคยโดนอุ้มไปแล้วและรอดมาได้ ท่านยังประมาทพลาดเดินไปแล้วโดนต่อยได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ มันดูแปลกไปไหม ถ้าจะพูดในฐานะที่ทำงานเขียนบท บอกได้ว่าบทนี้มันไม่เนียน (ยิ้ม)
การที่คุณกล้าที่จะแสดงออกทางการเมืองอย่างนี้ ทำให้คุณรู้สึกสุขใจอย่างไร
ไม่ได้มีความสุขเลยครับ (หัวเราะ) เพราะสุขแบบนี้มันสุขแบบไม่สุด คิดว่าถ้าชีวิตมีความสุขจริงๆแล้ว เราคงไม่ต้องออกมาแสดงอะไรอย่างนี้หรอก ผมหวังว่าประเทศเราคงไม่มีการออกมาปิกนิกอย่างนี้อีกบ่อยๆ สู้เราไปจัดงานมิวสิคเฟสติวัล คงจะสุขใจมากกว่านี้
ถ้าเลือกได้ ผมไม่อยากออกมาแสดงตัวแบบนี้หรอก ชอบที่จะแสดงตัวของเราในฐานะประชาชนที่อยู่ข้างล่างมากกว่า แต่ก็จำไว้เลยครับว่าทุกครั้งที่ท่านเรียกแขก หนึ่งในแขกนั้นคือผมแน่นอนครับ” (หัวเราะ)
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ-สกุล: กิตติ เชี่ยววงศ์กุล
ชื่อเล่น: เกลือ
วันเดือนปีเกิด: 30 พ.ค.2523 อายุ: 33 ปี
น้ำหนัก/ส่วนสูง: 65 ก.ก./ 170 ซ.ม.
การศึกษา: ปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาศิลปะการแสดง
ผลงาน: นักแสดง นักเขียนบท และผู้กำกับละคร โดยผลงานแสดงที่สร้างชื่อให้เขาเป็นที่รู้จักคือ บท “วอก” ในละครเรื่องเป็นต่อ
กลอนจากใจ “กวีตีสาม” ถึงคนอ่านคอลัมน์นี้
ที่ฉันออก คอลัมน์นี้ ใช่อวดเก่ง
หรือคิดเบ่ง แบ่งฝ่าย เป็นหลายสี
ฉันอยากเห็น ชาติรัก สามัคคี
เริ่มจากที่ เราเปิดใจ ให้แก่กัน
เราทุกคน มีสิทธิ จะคิดต่าง
โปรดฟังบ้าง อย่ารังเกียจ หรือเดียดฉันท์
เริ่มเปิดใจ ในความต่าง สร้างชาติพลัน
เพื่อคืนวัน ที่ดีของ ลูกหลานเรา
โดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่องโดย สุพรรษา แก้วแสงธรรม
ภาพโดย พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร, Supakit Wisetanuphong ,เฟซบุ๊ค Kleur kub