ป.ป.ท.ผสานกำลังทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการบุกรุกที่ทหารบริเวณชะง่อนผาเขาหนองเชื่อม อ.ปากช่อง บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ ส่งผลกระทบต่อการฝึกกำลังอาวุธของทหาร ปูดคฤหาสน์สุดหรูเป็นของนายตำรวจระดับสูง
จากกรณีที่ พ.ท. สิรวิชญ์ แข็งขัน ผู้บังคับการรบพิเศษ ศูนย์สงครามรบพิเศษ เข้าร้องทุกข์ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการบุกรุกที่ดินที่น่าเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องบริเวณชะง่อนผาเขาหนองเชื่อม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา อยู่ในละแวกเดียวกับนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ภายหลังถูกบุกรุกเข้าก่อสร้างบ้านพักตากอากาศหรูหลายหลังบนพื้นที่ประมาณ 500-600 ไร่ ส่งผลกระทบต่อการฝึกกำลังอาวุธของทหาร ที่ผ่านมาทหารพยายามปักป้ายระบุแนวเขตตักเตือนและขับไล่มาโดยตลอด แต่ผู้บุกรุกไม่เกรงกลัวและยังพยายามนำเครื่องจักรเข้ามาก่อสร้างคฤหาสน์หรูอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการเชื่อมต่อไฟฟ้าเพื่อนำมาใช้โดยปักเสาไฟฟ้าและก่อสร้างถนนคอนกรีตตัดเลาะแนวเขาเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรภายในพื้นที่บุกรุก
ทั้งนี้ พื้นที่ใกล้เคียงกับบริเวณที่ถูกบุกรุกมีสิ่งปลูกสร้างที่ยืนยันชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ทหาร เช่น สนามบิน และอาคารที่สร้างโดยทหารอเมริกันเมื่อครั้งมาฝึกทหารไทยสมัยสงครามเวียดนามเพื่อไปรบกับประเทศที่ 3
สำหรับการผสานกำลังเข้าตรวจพื้นที่ในครั้งนี้ พ.อ.สมหมาย บุษบา คณะทำงานด้านกฎหมาย กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 2 ร่วมกับนายธนวัฒน์ สนิทศักดิ์ดี เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนชำนาญการคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท) นำกำลังทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และกรมที่ดินเข้าตรวจสอบที่ดิน โดยเจ้าหน้าที่ได้สอบคำให้การจากผู้ดูแลพื้นที่ คือ นายเสวก อรรถกิจวิโรจน์ อดีตทหารรบพิเศษ ที่ให้ข้อมูลว่ารับจ้างดูแลตัดหญ้าในพื้นที่ โดยบริเวณนี้มีการเข้ามาก่อสร้างบ้านพักหรูและจับจองพื้นที่จากบุคคลหลายกลุ่ม ทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางกะปิ และนายตำรวจระดับสูงยศ พล.ต.ท.และ พล.ต.ต. ซึ่งมีตำแหน่งสำคัญในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 7 ภาค 9 และตำรวจน้ำ
พ.อ.สมหมาย บุษบา คณะทำงานด้านกฎหมาย กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า หลังจาก ผบ.ศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี ทำหนังสือร้องเรียนมายังกองทัพภาคที่ 2 ว่า ถูกนิคมลำตะคองทำรังวัดที่ดินล้ำพื้นที่ทหารกว่าหมื่นไร่ โดยพื้นที่เดิมเมื่อปี 2508 นั้น มีไว้สำหรับฝึกซ้อมรบของทหารอเมริกันและทหารไทยช่วงสงครามเวียดนามเพื่อส่งไปรบประเทศที่สามจำนวนกว่า 40,000 ไร่ ต่อมาปี พ.ศ. 2515 มีการสร้างเขื่อนลำตะคอง และมีการอพยพชาวบ้านท้ายเขื่อนมาอาศัยในพื้นที่ดังกล่าวตามคำสั่งคณะปฏิวัติ จึงให้ทางนิคมลำตะคลองเข้ามาจัดสรรที่ดินจำนวนกว่าแสนไร่ออกเป็นแปลงเพื่อให้ผู้อพยพเพาะพืชผลทางเกษตรและอยู่อาศัย ล็อกละ 15 ไร่ จำนวนกว่า 7 พันครัวเรือน แต่ต่อมาขยายไปกว่า 4 หมื่นครัวเรือน แต่ทหารก็ไม่ได้มีการท้วงติงใดๆเพราะเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นคนดูแลช่วงนั้นเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าที่ดินนี้เป็นที่ของนิคมลำตะคลอง จึงปล่อยให้นิคมลำตะคลองเข้ามาใช้พื้นที่ทั้งที่ในบริเวณดังกล่าว ไม่ใช่พื้นที่ของนิคมแต่เป็นพื้นที่ของศูนย์การทหารราบรบพิเศษ ลพบุรี
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจสภาพพื้นที่ดังกล่าวพบสิ่งปลูกสร้าง สนามบินแอล 19 และอาคารที่ทหารอเมริกันเคยสร้างไว้ โดยในจำนวนดังกล่าวมีพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ถูกชาวบ้านบุกรุกไปปลูกไร่ข้าวโพด จึงทำให้กระทบต่อการฝึกรบประจำปี โดยหลังจากนี้จะประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความถูกต้องของที่มาเอกสารต่างๆเกี่ยวกับการได้มาของที่ดิน ขณะนี้พบว่ามีการออกเอกสารหนังสือแสดงการทำประโยชน์นิคมสร้างตนเอง น.ค.3 เกินจากพื้นที่ของนิคมโดยล้ำเข้ามาในเขตทหารประมาณ 10,000 ไร่ และเกินที่ดินกรมป่าไม้อีก 10,000 กว่าไร่ หลังจากนี้ทางนิคมฯหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำรายงานเพื่อเพิกถอนเอกสาร น.ค.3 และส่งมอบพื้นที่คืนให้ทหารรบพิเศษต่อไป
ทางด้านนายแข่งขัน สีตะธานี เจ้าหน้าที่บริหารงานประชาสงเคราะห์นิคมลำตะคลอง ระบุว่านิคมออก น.ค.3 ล้ำเข้ามาในพื้นที่ทหารเนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่จริง โดยที่ผ่านมากรมที่ดินเคยมีหนังสือระงับไม่ให้ออกใบ น.ค.3 ตั้งแต่ปี 2551 แต่ไม่มีการเพิกถอนเอกสาร น.ค.3 ที่ออกไว้เดิม ทั้งนี้เมื่อทหารมีหลักฐานชัดเจนภายในสัปดาห์หน้าตนจะทำหนังสือถึงอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการให้เพิกถอน น.ค.3 ที่ออกทับที่ทหารทั้งหมด ส่วนเรื่องการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้นให้เจ้าหน้าที่ของทหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป