xs
xsm
sm
md
lg

แม่อุ้มบุญ 2 ราย ระบุไม่ทราบน้ำเชื้อเป็นของ “หนุ่มยุ่น”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

หญิงสาวรับจ้างอุ้มบุญ จำนวน 2 ราย เข้าให้ปากคำเพิ่มเติม กับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี
ตำรวจลุมพินี สอบปากคำเพิ่มแม่รับจ้างอุ้มบุญ 2 ราย ให้การยืนยันไม่ทราบมาก่อนน้ำเชื้อที่ใช้อุ้มบุญเป็นของ “ชิเกตะ” หนุ่มชาวญี่ปุ่น ชี้ชัดแพทย์เจ้าของคลินิกเป็นคนทำอุ้มบุญ รอเรียกสอบสัปดาห์หน้า

เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (23 ส.ค.) ที่ สน.ลุมพินี น.ส.แอน (นามสมมติ) อายุ 38 ปี และ น.ส.แนน (นามสมมติ) อายุ 33 ปี ทั้ง 2 คน เป็นแม่อุ้มบุญ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พงส.ผทค.สน.ลุมพินี เพื่อเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม สอบยืนยัน และชี้รูปเเพทย์ที่ทำอุ้มบุญให้ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนเดินทางกลับ โดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

พ.ต.อ.เดชา กล่าวว่า วันนี้ได้นัดทั้ง 2 คน เข้าให้ปากคำ และสอบปากคำเพื่อยืนยันว่าทำกับเเพทย์คนใด รวมทั้งชี้รูป นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนกุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ เพื่อยืนยันว่าทำกับแพทย์คนดังกล่าว ซึ่งทั้ง 2 คน ก็ยืนยันว่า ทำอุ้มบุญกับเเพทย์คนดังกล่าว โดย น.ส.แอน ให้ปากคำโดยอ้างว่า ได้รับจ้างทำอุ้มบุญเมื่อปี พ.ศ.2556 และคลอดที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เมื่อประมาณเดือนกันยายน พ.ศ.2557 ได้ลูกเป็นแฝดชายหญิง ส่วน น.ส.แนน รับจ้างทำอุ้มบุญเมื่อปี พ.ศ.2555 คลอดที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เช่นกัน เมื่อประมาณเดือนมกราคม พ.ศ.2556 ได้ลูกสาว 1 คน ซึ่งทั้ง 2 คน รับว่าได้รับค่าจ้างคนละ 3 แสนบาท

พ.ต.อ.เดชา กล่าวต่อว่า ขณะนี้เด็กทั้ง 3 คน อยู่ในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำหรับในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ได้นัดให้แม่เด็กอุ้มบุญที่เหลืออยู่มาสอบปากคำ ในเวลาประมาณ 10.00 น.คาดว่าน่าจะมาประมาณ 4-5 คน ซึ่งผลการสอบปากคำทั้งหมดจะได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐานก่อนดำเนินการต่อไป

พ.ต.อ.เดชา กล่าวอีกว่า ในส่วนของการสอบปากคำ นพ.พิสิฐ นั้น ก่อนหน้านี้ ทางทนายความได้ยื่นเรื่องขอเลื่อนเข้าพบเป็นวันที่ 6 กันยายน ซึ่งระยะเวลานานเกินไป และได้ติดต่อเพื่อให้เข้าพบพนักงานสอบสวนเร็วขึ้น แต่ยังไม่มีการติดต่อกลับมา หากพิจารณาแล้วไม่มีเหตุอันควรที่ขอเลื่อน หรือยังไม่ติดต่อกลับมาภายในสัปดาห์หน้านี้ก็จำเป็นต้องขอศาลเพื่อออกหมายจับต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแม่อุ้มบุญทั้ง 2 คน โดย น.ส.แนน ได้รับจ้างทำอุ้มบุญ เมื่อประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2555 ได้เดินทางเข้าพบ นพ.พิสิฐ ที่คลินิก ออลไอวีเอฟ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช ชั้น 12A ห้องเลขที่ 12A04 และชั้น 15 อาคารศิวาเทล ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. เพื่อให้ นพ.พิสิฐ ตรวจร่างกาย และผนังมดลูกว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่ จากนั้นได้เดินทางมาพบ นพ.พิสิฐ อีก 4 ครั้ง โดยมารับยาฮอร์โมนไปรับประทานสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2556 เป็นครั้งที่มาฝังตัวอ่อน มี นพ.พิสิฐ กับผู้ช่วย เป็นคนฝังตัวอ่อนให้ จากนั้นก็นัดอีก 10 วันถัดมาเพื่อมาตรวจดูว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หลังจากตรวจพบว่าตั้งครรภ์แล้ว อีก 1 สัปดาห์ก็นัดมาตรวจคลื่นหัวใจเด็กในครรภ์ แล้วก็นัดมาอีกเดือนละ 1 ครั้งจนกว่าจะคลอด กระทั่งวันที่ 27 กันยายน 2556 ได้มาพบ นพ.พิสิฐ อีกครั้ง และแจ้งว่าพร้อมที่จะคลอด

เมื่อ น.ส.แนน พร้อมที่จะคลอด นพ.พิสิฐ ก็ได้ส่งตัว น.ส.แนน ไปที่ รพ.พญาไท 2 โดย นพ.พิสิฐ เป็นผู้ทำคลอดให้ด้วยวิธีการผ่าคลอด ได้ลูกเพศหญิง จากนั้นก็นอนพักที่ รพ. อยู่อีก 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะมีชายชื่อว่า นายสำราญ ปาสาเนย์ มารับตัว น.ส.แนน พร้อมลูกอุ้มบุญไปที่เดอะนิชคอนโด ซอยลาดพร้าว 130 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. แล้ว น.ส.แนน ก็เดินทางกลับบ้าน โดยที่เด็กยังอยู่คอนโดฯ ดังกล่าวกับพี่เลี้ยง ซึ่ง น.ส.แนน ได้รับค่าจ้างที่ทำอุ้มบุญรวมทั้งสิ้นประมาณ 3 แสนบาท โดยได้รับเป็นงวด จำนวนหลายงวดรับเงินโดยการโอนเข้าบัญชีเงินฝากของ น.ส.แนน

สำหรับ น.ส.แอน ก็เข้าทำการอุ้มบุญตามขั้นตอนเหมือนกับ น.ส.แนน ซึ่ง น.ส.แอน ได้เข้าทำอุ้มบุญกับ นพ.พิสิฐ ในช่วงเดือนพฤษภาคม2556 จนถึง วันที่ 24 มกราคม 2557 กระทั่งทำการผ่าคลอดที่ รพ.พญาไท 2 ได้ลูกแฝดชาย-หญิง แล้วก็มีนายสำราญ มารับตัวไปที่คอนโดฯ ในซอยลาดพร้าว 130 เหมือนกัน ซึ่ง น.ส.แอน ได้รับค่าจ้างประมาณ 3-4 แสนบาท

พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รอง ผบช.น. กล่าวว่า ในขณะนี้ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรายละเอียดต่างๆ เพื่อความชัดเจน ทั้งนี้ ในส่วนคดีนี้ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ 1.กรณีที่เกิดขึ้นในไทยซึ่งมี นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนกุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ 2.กรณีชาวญี่ปุ่นนำข้ามแดนเข้ากัมพูชาไปแล้ว 3 คน ที่ยังเป็นปริศนาอยู่ และ 3.กรณีสภาพทางสังคมของนายมิตสึโตกิ ชิเกตะ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดให้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรณีอุ้มบุญในประเทศไทยนั้น กุญแจสำคัญที่จะคลี่คลายคดีนี้ได้เป็นอย่างดีคือ ตัวของ นพ.พิสิฐ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เข้าให้ปากคำ และได้มีการเลื่อนการสอบปากคำต่อทางพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ หากตัวของ นพ.พิสิฐ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนพร้อมนำหลักฐานเวชระเบียนประวัติรักษาจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ อยากให้ตัวของ นพ.พิสิษฐ์ เข้ามาให้ปากคำเพื่อสอบถามที่มาที่ไป ซึ่งหากไม่เข้ามาก็จะมีการดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งอาจรวมถึงการที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแพทยสภา และกระทรวงสาธารณสุข เพิกถอนใบอนุญาตเฉพาะทางของ นพ.พิสิฐ ขณะที่การติดตามรายละเอียดในกรณีของประเทศกัมพูชา และญี่ปุ่นนั้น เบื้องต้นต้องตรวจสอบสภาพทางสังคม และประวัติของนายมิตสึโตกิ ว่าเป็นคนอย่างไร มีฐานะอย่างไร อีกทั้งตรวจสอบขั้นตอนการขออนุญาตว่านำเด็กออกนอกประเทศด้วยวัตถุประสงค์ใดกันแน่ ซึ่งตรงนี้หากทางนายมัตสิโตกิ ชิเกตะ มาแสดงความบริสุทธิ์ใจชี้แจง ก็สามารถทำตามขั้นตอนได้ อย่างไรก็ตาม แนวทางการสืบสวนเชื่อว่าทั้ง 3 กรณีน่าจะมีส่วนผัวพันกัน เป็นลักษณะเครือข่าย ซึ่งต้องนี้ได้กำชับให้ฝ่ายสืบสวน และชุดทำงานติดตามตรวจสอบแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น