xs
xsm
sm
md
lg

จากคดี “น้องฟลุ๊ค-น้องโบว์” นิสิตจุฬาฯ ประจาน ตร.สน.บางชัน ชุ่ย!!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. มอบรถคันใหม่ชดใช้ให้กับน้องโบว์ ผู้เสียหายจากการกระทำของตำรวจสน.บางชัน
ใครจะรับประกันได้ว่าเหตุการณ์ตำรวจยิงผิดตัว อย่างกรณี “น้องโบว์” จะไม่เกิดขึ้นอีก หาก ตร. ยังอ้างอำนาจที่มีอยู่ในมือสุ่มตรวจ - ค้นชาวบ้านโดยไม่ใช้วิธีการสืบสวนอย่างมืออาชีพ ก่อนดำเนินตรวจค้นอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการสูญเสีย อันกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร มากกว่าการจะมาเยียวยากันในภายหลัง....

กลายเป็นข่าวสั่นสะเทือนวงการสีกากีอีกครั้งกับเหตุการณ์ที่ตำรวจสืบสวน สน.บางชัน เข้าใจผิดชักปืนยิงใส่รถเก๋งของนิสิตจุฬาฯ เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแก๊งค้ายาเสพติด เดชะบุญที่เจ้าตัวขับรถหนีรอดคมกระสุนมาได้อย่างหวุดหวิด

เหตุการณ์ฉาวโฉ่ของตำรวจไทยเกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ น.ส.อภีษฎา สัจพันโรจน์ อายุ 21 ปี นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขับรถเก๋งยี่ห้อซูซูกิ สวิฟท์ สีเทา ทะเบียน 1 กฆ 1993 กรุงเทพมหานคร มาจากบ้านพักเลขที่ 20 หมู่บ้านพฤกษชาติ ซอยรามคำแหง 118 แยก 46-10 แขวงและเขตสะพานสูง เพื่อไปหาเพื่อนที่จุฬาฯ ซึ่งเจ้าตัวเลือกใช้เส้นทางลัดภายในซอยรามคำแหง 118 แยก 33 เพื่อไปออกยังถนนกาญจนาภิเษก ที่ใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ระหว่างที่เธอขับรถมาถึงแยก 44-5 ในซอยดังกล่าว ก็พบเหตุผิดปกติ เมื่อจู่ๆ รถกระบะยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์เงิน ขับแซงขึ้นมา ทั้งๆ ที่ซอยดังกล่าวเป็นซอยค่อนข้างจะแคบ กระทั่งเมื่อถึงแยก 33-8 ขณะที่จอดรถอยู่เพื่อรอเลี้ยว ปรากฏว่ามีชายฉกรรจ์ 4 คน เดินลงมาจากรถกระบะคันที่ขับแซงเธอ แล้วชายกลุ่มนั้นก็ได้ล้อมรถไว้ทั้ง 4 ด้าน จากนั้นหนึ่งในชายฉกรรจ์ได้เคาะกระจกและบังคับให้เธอลงจากรถ

ด้วยความที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กที่ถูกล้อมกรอบด้วยชายฉกรรจ์ถึง 4 คน แถมยังมีอาวุธปืนเหน็บข้างเอวอีกด้วย ทำให้เธอหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เธอจึงตัดสินใจถอยรถหนีออกไปให้ไกลจากจุดที่ถูกปิดล้อม จนไปชนเอารถเบนซ์ที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นชาย 3 คนได้เข้าไปยังรถกระบะ ส่วนชายอีกคนเร่งสาวก้าวเข้ามาหาเธอ พร้อมทั้งยิงปืนขนาด 9 มม. ใส่ล้อหน้าด้านฝั่งคนขับจำนวน 5 นัด

เธอจึงเหยียบคันเร่งหลบหนีกระสุนจนมาถึงปากซอยรามคำแหง 118 แยก 33 เมื่อตั้งหลักหันหัวรถได้จึงรีบขับกลับมายังซอยรามคำแหง 118 แยก 44 แต่รถเสียการทรงตัวเพราะยางแตก เธอจึงจอดรถข้างทาง จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์จากรถกระบะคันดังกล่าวได้เดินลงมาจากรถ แต่ครั้งนี้ชายฉกรรจ์ทั้ง 4 คนได้ห้อยบัตรแสดงตัวแล้วว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่จะบอกให้เธอลงมาจากรถ แล้วค้นภายใน แต่ไม่เจออะไร ระหว่างนั้นทางญาติของเธอก็ได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุพอดี เมื่อพวกเขาค้นรถเสร็จก็จะเข้าจับกุมเธอ แต่ทางญาติได้สอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงทำแบบนี้ เจ้าหน้าที่ทั้ง 4 นาย จึงได้ขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุทันที สร้างความงุนงงสงสัยแก่เธอเป็นอย่างยิ่ง

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นหนูรู้สึกตกใจกลัวมาก เพราะว่าทางตำรวจมาแบบชายฉกรรจ์ ไม่มีการแสดงตัวหรือโชว์บัตรก่อน ถึงแม้จะโชว์บัตรก็ไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากหนูกับแม่เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มาก่อนหน้านี้แล้วเมื่อ 3 - 4 เดือนก่อน วันนี้คิดว่าต้องเสียชีวิตไปแล้ว แต่โชคดีที่เหตุการณ์เกิดอยู่ใกล้ละแวกบ้านพัก จึงอยากเรียกร้องให้ยึดหลัก ระเบียบ กฎเกณฑ์ คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์ การกระทำที่เกิดขึ้นเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม ทำให้ประชาชนรู้สึกแย่ เสียขวัญ และกำลังใจ ทำให้รู้สึกว่าประชาชนพึ่งพาไม่ได้ กลับต้องมาได้รับอันตรายจากการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียเอง” น.ส.อภีษฎา กล่าวถึงเหตุการณ์ด้วยสีหน้าระทึก

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ยิงผิดตัวไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดกับนิสิตสาวจากรั้วจามจุรีเป็นครั้งแรก เนื่องจากก่อนหน้านี้ตำรวจสายสืบโรงพักเดียวกันนี้ได้เคยยิงเด็กบริสุทธิ์ตายมาแล้ว 1 ราย ซึ่งเรื่องราวสุดสลดใจดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2546 เมื่อตำรวจสืบสวน สน.บางชัน ประกอบด้วย ด.ต.พิพรรธ แสนอินทร์ จ.ส.ต.ภาณุมาศ ชนะขำ และ ส.ต.อ.อนุสรณ์ แท่นสุวรรณ ได้เข้าล่อซื้อยาเสพติดจาก นายสถาพร ศรีสอาด บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ปารีส ตลาดสะพานขาว ระหว่างนั้นก็ได้ยิงใส่รถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ด ทะเบียน อม 6176 กทม. ที่มี น.ส.พรวิภา เกิดรุ่งเรือง ภรรยา นายสถาพร และ ด.ช.จักรพันธุ์ ศรีสอาด หรือ น้องฟลุ๊ค อายุ 9 ปี ลูกของ นายสถาพร กับ น.ส.พรวิภา นั่งอยู่ด้วย

โดย น.ส.พรวิภา พยายามขับรถยนต์หนี แต่ลูกกระสุนปืนทะลุตัวถังรถถูกร่างของน้องฟลุ๊ค ที่นอนหลับอยู่ที่เบาะหลังจำนวน 2 นัด บริเวณหลังและอกด้านขวา จนเสียชีวิต จากนั้นตำรวจทั้ง 3 นาย ก็ถูกดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

หลังเกิดเหตุสะเทือนวงการสีกากี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานด้านการปราบปรามยาเสพติด ได้ลงมาดูแลคดีด้วยตนเอง โดยสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย ได้แก่ ร.ต.ต. สุพจน์ โทเกษ รอง สว.สส.สน.บางชัน ด.ต.จำเนียร ขันแดง ผบ.หมู่ สส.สน.บางชัน และ ด.ต.รัศมี เทพทา ผบ.หมู่ สส.สน.บางชัน ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ สน.ประเวศ สน.อุดมสุข และ สน.หัวหมาก ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ พร้อมทั้งสอบทางวินัยและอาญา

นอกจากนี้ นายตำรวจคนดัง ได้เปิดโครงการฝึกอบรมการสืบสวนสะกดรอยและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ชุมชนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนปราบปรามยาเสพติดของ สน.บางชัน และอีก 7 โรงพักในพื้นที่ บก.น.4 ที่ บช.ปส. ซึ่งการฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อให้สังคมและประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานในด้านนี้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กรตำรวจโดยส่วนรวม โดยครูฝึกทุกนายมีประสบการณ์และองค์ความรู้เป็นอย่างดี เป็นการทบทวนและเพิ่มทักษะในการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความมั่นใจและไม่เกิดข้อผิดพลาดที่เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้สุจริต โดยต่อไปในอนาคตจะมีการฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในการฝึกอบรมในครั้งนี้ได้เชิญ น.ส.อภีษฎา เหยื่อตำรวจชุ่ยมาเป็นวิทยากร เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าฝึกอบรมได้ฟังเป็นอุทาหรณ์ และระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นจะได้มีการมอบรถยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสวิฟท์ คันใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นเดิม สีเดิม ให้กับ น.ส.อภีษฎา เพื่อทดแทนคันเก่าที่ได้รับความเสียหาย

ถึงแม้นายพลคนดังจะเข้าช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อสาวที่ยังขวัญผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังล้อมคอกด้วยการนำกำลังพลมาฝึกฝนทักษะและเทคนิคการสืบสวนจับกุมกันเอิกเกริก

แต่ใครจะรับประกันได้ว่า เหตุการณ์ตำรวจยิงผิดตัวจะไม่เกิดขึ้นอีก หาก ตร. ยังอ้างอำนาจที่มีอยู่ในมือสุ่มตรวจ - ค้นชาวบ้านโดยไม่มีใช้วิธีการสืบสวนอย่างมืออาชีพ ก่อนดำเนินตรวจค้นอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการสูญเสีย อันกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร มากกว่าการจะมาเยียวยากันในภายหลัง....
สภาพรถคันเก่าที่เสียหาย โดยมีร่องรอยถูกยิงจากฝีมือของตำรวจ
กำลังโหลดความคิดเห็น