สตม.แถลงจับกุมอาชญกรข้ามชาติรวม 4 คดี โดยประสานผ่านสถานเอกอัครราชทูต ทั้งฝรั่งเศส-ฮังการี-อิตาลี และไต้หวัน หลังก่อเหตุผู้ต้องหาได้หลบหนีเข้าประเทศไทย กบดานอยู่ตามเมืองท่องเที่ยว เตรียมส่งตัวกลับไปดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (30 ก.ค.) ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษา (สบ 10) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี จตร.รรท.ผบช.สตม. ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมคนต่างด้าวกระทำความผิดจากต่างประเทศแล้วหลบหนีเข้ามากบดานในประเทศไทย จำนวน 4 คดี ดังนี้
คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมนายจอร์นาทาน แพลนต์ (Mr.Jornatan PlANT) สัญชาติฝรั่งเศส อายุ 40 ปี ก่อเหตุขนกัญชาจากประเทศสเปนเข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ประมาณ 750 กรัม มูลค่ารวมกว่า 150 ล้านบาท นายจอร์นาทานก่อเหตุตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 55 หลังจากก่อเหตุได้หลบหนีไปพร้อมพวกที่ร่วมกันก่อเหตุอีก 4 คน แต่ก็มาถูกสกัดจับได้ที่เมืองอูร์โดส์ของประเทศฝรั่งเศส ต่อมานายจอร์นาทานทำทีขอพบทนายก่อนจะหลบหนีการควบคุมตัวไปได้ ศาลฝรั่งเศสจึงออกหมายจับและร้องขอให้ตำรวจสากลออกหมายจับด้วย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ สตม.สืบทราบว่าภรรยาและลูกของนายจอร์นาทานเดินทางมาท่องเที่ยวที่เกาะสมุย จึงสะกดรอยตามจนพบนายจอร์นาทานพักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนเกาะสมุยและเข้าจับกุม จากการตรวจสอบพบว่านายจอร์นาทานเดินทางเข้าประเทศไทยโดยใช้หนังสือเดินทางในชื่อผู้อื่น ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 57
เบื้องต้นพบว่านายโจนาทานถูกหมายจับรวมอีก 7 หมายจับ กระทำผิดข้อหาปล้นธนาคารโดยใช้อาวุธ, ปล้นอาคารบ้านเรือน, ปล้นสะดม, ลักทรัพย์, ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ, ทำร้ายร่างกาย, ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธและใช้ความรุนแรง ในประเทศฝรั่งเศส
คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ทำการจับกุม นายอัลทาล เรซ (Antal RACZ) สัญชาติฮังการี อายุ 40 ปี เนื่องจากเป็นบุคคลที่ทางการฮังการีต้องการตัวในคดีข้อหาฆ่าคนตาย และใช้อาวุธสงคราม (ระเบิด) และอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และสำนักงานตำรวจสากลออกหมายจับ (Red notice) โดยทาง ตม.ได้รับการประสานงานจาก ตร.ประจำ สถานเอกอัคราชทูตฮังการีให้สืบสวนติดตามตัวนายอัลทาล โดยเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 48 ตระกูลเรซของนายอัลทาลได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับตระกูลฟาร์กาส รวมกว่า 50 คน และนายอัลทาลใช้อาวุธปืนก่อเหตุยิงและปาระเบิดมือใส่เป็นเหตุให้มีคนตาย 2 คน และบาดเจ็บสาหัส 14 คน ต่อมาเมื่อปี 51 นายอัลทาลได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย และต่อมาเมื่อปี 52 ศาลประเทศฮังการีได้ตัดสินให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต จากการสืบสวนสามารถจับกุมตัวนายอัลทาลได้ที่บ้านพักใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดลง และรอส่งกลับประเทศเพื่อดำเนินคดีต่อไป
คดีที่ 3 เจ้าหน้าที่จับกุมนายฟรานเชสโก กัลเดลลี (Mr.Francesco GALDELLI) สัญชาติอิตาลี อายุ 52 ปี นายฟรานเชสโกถูกศาลเมืองมิลานตัดสินจำคุก 8 ปี 4 เดือน ในความผิดฐานฉ้อโกง, รับของโจร, แสดงตัวเป็นบุคคลอื่น, จำหน่ายสินค้าที่เครื่องหมายการค้าปลอม, ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี หลังจากได้รับการประสานงานจากสถานเอกอัคราชทูตอิตาลีให้ติดตาม โดยนายฟรานเชสโกซึ่งหลบหนีไม่ไปฟังคำพิพากษา ศาลเมืองมิลานจึงได้ออกหมายจับเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 56 และได้นำเข้าเป็นหมายแดงตำรวจสากล (Interpol Red notice) ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2557 สืบทราบว่านายฟรานเชสโกจะไปติดต่อกับสถานทูตอิตาลีที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จึงได้เฝ้าจนกระทั่งจับกุมได้ในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดลง
คดีที่ 4 ทางเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนติดตามจับกุม นายจาง เจีย เว่ย (Mr. CHANG CHIA WEI) อายุ 18 ปี ชาวไต้หวัน 2. นายหวัง อี้ เฉิน (Mr. WANG YI CHIEH) อายุ 35 ปี ชาวไต้หวัน 3. นายอู๋ ยวู โชว (Mr. WU YU SHUO) อายุ 33 ปี ชาวไต้หวัน 4. น.ส.เฉิน ลี่ ยิน (Ms. CHEN LI YEN) อายุ 42 ปี ชาวไต้หวัน เนื่องจากถูกศาลไต้หวันออกหมายจับในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงผ่านคอลเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ ทางการไต้หวันได้ร่วมมือกับทางการกัมพูชาทลายแหล่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา สามารถจับกุมได้จำนวน 13 คน จากการสอบสวนทราบว่ามีทั้งหมด 21 คน โดยได้หลบหนีเข้ามาประเทศไทยจำนวน 4 คน คือ นายจางกับพวก ทั้งหมดเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2557 และอีกส่วนหนึ่งได้หลบหนีไปยังประเทศสิงคโปร์แล้วต่อไปยังมาเลเซียจำนวน 4 คน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงได้สืบสวนจนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2557 ได้พบตัวนายจางและพวกที่บริเวณริมถนนสาทร หน้าตึกเอ็มไพร์สเตท เขตสาทร จึงเข้าทำการจับกุมได้ทั้งหมด โดยภายหลังจากนี้นั้นจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาผู้ร่วมขบวนการและเตรียมผลักดันกลับประเทศต่อไป
พล.ต.อ.วุฒิกล่าวว่า ขณะที่ทาง สตช.ได้มีคำสั่งเร่งกวาดล้างคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาซ่อนตัวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เน้นกวาดล้างที่จังหวัดเชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร เกาะสมุย ภูเก็ต และพัทยา โดยจะเร่งกวาดล้างให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะพาประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อที่จะให้ต่างชาตินั้นมองประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยดังเดิม อย่างไรก็ตาม จุดบอดของเราอยู่ที่คนร้ายมักจะแฝงตัวเข้ามาในประเทศไทยภายใต้คราบนักท่องเที่ยว หากจะให้ตรวจสอบนักท่องเที่ยวทุกคนคงเป็นไปได้ยาก แต่หากได้รับการประสานมาจากต่างประเทศก็จะให้การจับกุมเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น