รายงานตำรวจ/ลูกพระอาทิตย์
ปฏิบัติการสายฟ้าแลบของฉก.ตร.นำโดยพ.ต.อ.อนันต์ ศรีหิรัญ และพ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.สร้างความฮือฮาให้กับวงการตำรวจ(ไทย)เป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะสายที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์รวมทั้งบรรดาผู้ประกอบการสีเทาหลายสำนัก
พอจับปุ๊บตู้มาหลายพันตู้ทั้งในขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดใก้ลเคียงต่างพากัน “ถอดปลั๊ก”หยุดกิจการกันกะทันหัน เรียกว่ายิ่งกว่าการดึงบังเหียนในสนามม้าจริงเสียอีกเพราะตามตรอกซอกซอยในหลายร้อยตารางกิโลเมตร มีทั้งถูกยกหนี ถูกถอดสายไฟแถมคลุมผ้าทำเหมือนว่ามันตั้งอยู่เฉยๆมิได้มีกิจกรรมพิเศษอะไร
ข้อมูลวงในรู้กันว่าเฉพาะพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล อันประกอบด้วยกองบังคับการ 9 แห่ง มีเพียง 2บก.เท่านั้นที่ไม่ยอมรับตั๋ว ไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าเล่นกับของร้อนขณะที่ 7บก.ล้วนใจถึงต่างมั่นอกมั่นใจถึงสัญญาณที่เบื้องบนส่งลงมาจึงเปิดทางให้นายทุนตู้ม้าทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่เข้ามาประมูลผลประโยชน์แข่งกันซึ่งตัวเลขค่า“เอาหูไปนาเอาตาไปไร่”ของตำรวจนครบาล(บางกองบังคับการ)เพิ่มราคาต่างจากยุคก่อนๆเป็นเท่าตัว
เช่นการจ่ายส่วยกับโรงพักซึ่งมีเสือ(หิว)อยู่5 ตัวจากหลักแสนเป็นหลักล้าน เสร็จสิ้นในระดับสถานีก็ไประดับกองบังคับการไปที่กองสืบต่างๆและส่วนหนึ่งตรงลิ่วไปแถวสวนอัมพร นี่คือกระบวนการส่งส่วน“ชั้นใน”หรือวงใน ส่วนรอบนอกตำรวจแทบทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือเมื่อทราบถึงชื่อหน่วยงานโดยตรงแล้วอาจจะอุทานว่า“ต้องจ่ายมันทำไมวะ”แต่ที่สุดนายทุนตู้ม้าก็ต้องจ่ายเพื่อป้องกันปัญหา
จาก“ชั้นใน”หรือวงในก็ไป “วงนอก”เช่นบางหน่อยงานของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไล่ไปเป็นลำดับชั้นจนเป็นที่เข้าอกเข้าใจกัน เป็นที่มั่นใจกิจกรรม “ดูดเงิน”จากเด็กจากผู้ใช้แรงงานและประชาชนคนรากหญ้าที่ชื่นชอบการเสี่ยงโชคจึงเริ่มขึ้น......
ในทุกยุคทุกสมัยเขาทำกันอย่างนี้แต่ในยุคค่าแรง 300 บาท ยุคอะไรๆก็ขึ้นราคา ตำรวจผู้มือหนึ่งถือกฎหมายมือหนึ่งถือปืนและบางคนยังถือคันไถธุรกิจการพนันตู้ม้าจึงมีคนในเครื่องแบบเข้ามายุ่งเกี่ยวมากยิ่งขึ้น
ในครั้งนี้...ในยุคที่มีพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เป็นหัวเรือใหญ่ของกรุงเทพฯนอกจากอัตราการเคลียร์ตำรวจจะแพงหูฉี่แล้ว ยังมีออฟชั่นพิเศษสุดคือตำรวจเป็นเจ้าของกิจการเองแต่ให้นายหมูนายแมวเป็นนอมินีชิงพื้นที่ไปจากนายทุนตู้ม้าหน้าเก่า
นายตำรวจ“เจ้าพ่อ”ตู้ม้าคือใครแน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดาแต่จะเป็นใครนั้นเชื่อว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดอย่างพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผบ.ตร ต้องรู้ดี หรือถ้าสังคมอยากทราบก็จะใบ้ให้ว่าเขาคือนายตำรวจสายเหี่ยวที่มีผลงานโด่งดังระดับประเทศมาแล้ว เพียงแต่มีการเปลี่ยนชื่อเพื่ออำพรางชื่อเสียงในอดีตไว้
กลับมายังปฏิบัติการถล่มตู้ม้ากันต่อ...ดังที่ให้ข้อมูลไว้ว่าบช.น. มีตั้ง 9 กองบังคับการ และปลอดตู้ม้าเพียง 2บก.แต่ทำไมชุดจับกุมจึงเลือกเฉพาะ บก.น.5 บก.น.8 และ บก.น.9ซึ่งตามจริงแล้วในวันจับกุมบก.น.5 สน.พระโขนงโดนไปด้วยแต่ที่สุดชุดจับกุมยอมให้ตำรวจท้องที่แสดงบทไปคนเดียว เหมือนกับ บก.น.9พื้นที่สน.บางบอน ตำรวจชุดเฉพาะกิจจับตู้ม้าได้กว่า 20 ตู้แต่ก็ตกลงกันได้ คือยกให้ตำรวจท้องที่เป็นคนจับ
เว้นบก.น.8 แม้จะจับเพียงท้องที่ละตู้สองตู้แต่ก็เพียงพอที่จะเด้งพล.ต.ต.รัษฎากร ยิ่งยง หลุดจากเก้าอี้ได้ง่ายๆ นั่นเพราะมีการจับกุมพร้อมกันครั้งเดียว 5 โรงพักคือ สน.บางยี่เรือ สน.ตลาดพลู สน.สำเหร่ สน.สมเด็จเจ้าพระยา และสน.ทุ่งครุซึ่งเข้าตามกฎกติกาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทึ่คาดโทษไว้ก่อนหน้าว่า
หากท้องที่ใดปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันมีตู้ม้าจนถูกตำรวจนอกหน่วยไปจับตั้งแต่ 3 แห่งขึ้นไปผู้บังคับบัญชาระดับ“ผู้การ”หรือ ผบก.จะต้องรับผิดชอบ และถ้ามากถึง 5 แห่งขึ้นไปผู้บังคับบัญชาระดับ“ผู้บัญชาการ” หรือ ผบช.จะต้องรับโทษทัณฑ์ไปด้วย
กระแสการโยกย้ายสลับระหว่างพล.ต.ท.สุเทพเดชรักษา ผบช.ภาค 5 กับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับยุทธการถล่มตู้ม้าแบบพอดิบพอดีบรรดาคนคิดลึกจึงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา บ้างก็ว่านี่คือการ “เอาคืน”ของผบ.ตร.ที่ซ่อนเคือง ซ่อนแค้น นักการเมืองใหญ่กับลูกน้องเจ้าของวลี “มีวันนี้เพราะพี่ให้”
....เหตุผลสนับสนุนในส่วนของการลูบคมนักการเมืองคนดังก็คือพล.ต.ต.รัษฎากรยิ่งยง ผบก.น.8 มิใช่ตำรวจธรรมดาเป็นยังเป็นถึงญาติดองกับตระกูล “อยู่บำรุง”หรือพูดตรงๆก็คืออดีตผู้การ 8 เป็นพ่อตาในพฤตินัยของร.ต.ต.วัน (เฉลิม) อยู่บำรุงและพื้นที่สน.บางบอนคงไม่ต้องบอกว่านั่นคือ “แลนด์มาร์ค”ของขุนศึกฝั่งธนฯร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ศรส.
ที่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกก็คือทำไมพื้นที่อื่นๆในนครบาลที่มีตู้ม้าหากินเป็นล่ำเป็นสันจึงถูกมองข้ามถูกเว้นวรรคไปอย่างตั้งใจ (หรือ)ไม่ตั้งใจ ซึ่งในพื้นที่ “หนังเหนียว”ไม่เจอดีก็ล้วนแต่เป็นแหล่งทำมาหากินของบรรดา“เสี่ยนอมินี”ทั้งหลายเสียด้วย จึงทำให้คนช่างคิด ทั้งแวดวงตำรวจ แวดวงสื่อและแวดวงนายทุนคนสีเทาต่างคิดๆๆแต่ก็ขบไม่แตก
แต่เอาเถอะจะมีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไรก็ตาม ข้อสรุปก็มีอยู่ว่าเบื้องหลังอาชญากรรมย่อมมีตำรวจ(ชั่วบางคน)อยู่ข้างหลัง
ลูกพระอาทิตย์.