สน.พระอาทิตย์ / สามยอด
อะไรที่แน่ๆก็ชักจะไม่แน่เสียแล้ว การแต่งตั้งโยกย้ายนายพล"สีกากี” “นอกฤดู” หลังจาก “ผบ.อู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว แม่ทัพใหญ่ เซ็นต์อนุมัติให้พล.ต.ท.เอกรัตน์ มีปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ลาออกจากราชการ มีผลวันที่ 21 เม.ย.ตามคำสั่งที่ 186/2557 ทำให้ตำแหน่ง “ผู้ช่วย ผบ.ตร.”ว่างลง 1 เก้าอี้
พล.ต.อ.อดุลย์ ได้แจ้งคณะกรรมการข้าราชการตำรววจ(ก.ตร.) ขอแต่งตั้งข้าราชการตำรวจแทนทันที โดยวางคิววันศุกร์ที่ 25 เม.ย. เวลา 09.00 น. คณะกรรมการคัดเลือกผู้เหมาะสม(บอร์ดกลั่นกรอง) มี “นนทิกร กาญจนะจิตรา” เลขาธิการ ก.พ. เป็นประธาน พิจารณาบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายพลนอกฤดูแทนตำแหน่งว่าง จากนั้นวันพุธที่ 30 เม.ย. จะเสนอรายชื่อที่พิจารณาเข้าวงประชุม ก.ตร. ที่มีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ตามบัญชีเดิมการแต่งตั้งนอกฤดูครั้งนี้ ผบ.ตร. จะเสนอให้พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่ ขึ้น ผู้ช่วย ผบ.ตร. แทนตำแหน่งว่าง ขยับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ เสาวคนธ์ รองนายแพทย์ใหญ่ ขึ้น เป็น นายแพทย์ใหญ่ และสลับตำแหน่งระดับผู้บัญชาการ(ผบช.) แบบโยก 3 เส้า ให้พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. โยกเป็น ผบช.ภ.1 พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 ไปเป็น ผบช.ภ.5 โยกพล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ.5 มาเป็น ผบช.น.
แต่แล้วในแวดวงสีกากีก็ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ พลันที่โผดังกล่าวปรากฏออกมา “ฝุ่นก็ตลบอบอวล” เรื่องง่ายๆก็ไม่ง่ายเหมือนปลอกกล้วย สายแข็งเจอสายแข็งกว่า เส้นใหญ่เจอเส้นใหญ่กว่า ทำให้โผแต่งตั้งครั้งนี้ต้องเปลี่ยนแปลงกันเป็นวินาที
เดิมมีข่าวว่าตั้งแต่ “เริ่มดิว”จน “ปิดดิว” เจ้าของวลีมีวันนี้เพราะพี่ให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง หลังจาก “บิ๊กแจ๊ด”บินกลับจากต่างประเทศ ตามที่ปรากฏภาพนั่งร่วมโต๊ะกับ “นช.แม้ว” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายนายกฯปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ดิวการเจรจาเปิดตำแหน่ง “ผู้ช่วย ผบ.ตร.”ก็เริ่มขึ้น
ว่ากันว่า พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน(ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) ควงคู่ "แจ๊ด"น้องรัก เปิดการเจรจาทาบทาม “บิ๊กต้อม”พล.ต.ท.เอกรัตน์ ให้ลาออกจากราชการ โดย มีเงื่อนไขที่ยากจะปฏิเสธ ซึ่ง “บิ๊กต้อม"สุขภาพร่างกายก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว รวมทั้งเหลือเวลาราชการอีกเพียง 5 เดือน ก็จะครบเกษียณราชการวันที่ 30 ก.ย.2557 ทุกอย่างก็เลยเข้าล็อคลงตัวตามเป้าประสงค์ การยื่นใบลาออกเกิดขึ้น พร้อมๆกับการต่อสายให้บิ๊กสีกากีรับนโยบายจากแดนไกลไปดำเนินการตามขั้นตอน
เมื่อรันเวย์เคลียร์เรียบร้อย เส้นทางปลอดโปร่ง ปฏิบัติการจัดทัพปรับทิศสีกากีช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองก็เริ่มขึ้น การขยับพล.ต.ท.จงเจตน์ นายแพทย์ใหญ่ ขึ้น ผู้ช่วย ผบ.ตร. แทนตำแหน่งว่างเป็นไปตามอาวุโส ที่ในการประชุม ก.ตร. ช่วงที่มีการแต่งตั้งวาระประจำปี ก.ตร.ได้ขีดเส้นใต้ไว้ว่าหากมีตำแหน่งว่างในครั้งต่อไปจะต้องขยับขึ้นไปดำรงตำแหน่ง หลังจากยอมให้ “พล.ต.ท.จงเจตน์” ยึดเก้าอี้ไว้ไม่ต้องขึ้นไปตามหลักอาวุโสมาแล้วตามต่อด้วยเงื่อนไขบันทึกไว้ในการประชุม ก.ตร. ครั้งก่อนเช่นกัน หากตำแหน่ง นายแพทย์ใหญ่ ว่าง ผู้ที่ต้องได้รับการเสนอชื่อขึ้นดำรงตำแหน่งก็คือ พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ ขึ้นนั่งเก้าอี้ หมอใหญ่ แทน ซึ่งการขยับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ขึ้นก็ยังช่วยให้ข้อร้องเรียนที่พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ร้อง ก.ตร. รวมทั้งที่ไปขึ้นโรงขึ้นศาลก็จบลงเรียบร้อย
จากนั้นก็เป็นคิวโยกระนาบระดับ ผบช. ที่วางกันไว้ว่าจะโยก 3 เส้า เริ่มจากการวางตัว “บิ๊กแจ๊ด”พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โยกจาก “เมืองหลวง”ไปนั่ง บช.ภ.1 ซึ่งก็ตรงตามความต้องการของ “บิ๊กแจ๊ด”ที่ก็อยากกลับถิ่นเก่าอันคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะช่วงหลังการทำงานในพื้นที่เมืองหลวง มีหลายครั้งที่ทำให้พล.ต.ท.คำรณวิทย์อึดอัดใจ เนื่องจากมีแต่คนใหญ่ๆทั้งนั่นที่เอาแต่สั่งๆๆ หากทำได้ก็ดีไป หากทำไม่ได้ด้วยติดเงื่อนไขอะไรก็ตาม ก็จะโดนเอาไปฟ้อง ไปตำหนิ จนสร้างความกดดันอย่างมาก โดยเฉพาะกับการเผชิญหน้ากับ”ม็อบ”ที่ทำดีก็เสมอตัว ทำไม่ได้ก็โดนใส่อย่างรุนแรง
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ จึงอยากหวลคืนถิ่นเก่าอีกครั้ง เพื่อต้องการจะวางรากฐานปูทางมวลชนลงเล่นการเมืองในเวลาอันใกล้ แล้วให้“บิ๊กเทพ”พล.ต.ท.สุเทพ นายตำรวจที่เติบโตอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือมาตลอด มีความคุ้นเคยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุ้นเคยกับเจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ค้นเคยกับแกนนำพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคเหนือ รวมทั้งมักคุ้นกับร.ต.อ.เฉลิม จึงเป็นชื่อที่ถูกนำมาปัดฝุ่นให้มาคุมทัพ “นครบาล”อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.สุเทพ เกือบจะได้มาอยู่นครบาล ตั้งแต่สมัยก่อนที่จะตั้งพล.ต.ท.คำรณวิทย์เป็น ผบช.น.ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ไปลงตัวที่ “บิ๊กแจ๊ด”ครั้งนี้ด้วยสถานการณ์ และเวลาที่เหมาะเจาะลงตัวทุกเสียงต่างก็เห็นพ้องต้องส่งสายตรงลงมาคุมทัพเมืองหลวงในห้วงเวลาตรึงเครียดเช่นนี้ เพราะชื่อเสียง หน้าตา พล.ต.ท.สุเทพ ไม่ช้ำเหมือนอย่างพล.ต.ท.คำรณวิทย์ อีกทั้งว่ากันว่า “บิ๊กเทพ”มีคอนเน็คชั่นกับคนชั้นสูงแบบไม่ธรรมดา น่าจะมาช่วยประสานใจลดโทนข้อครหาใหญ่หลวงของคนแดนไกลได้อย่างดีที่สุด เก้าอี้ “ผบช.น.”เลยมาหยุดตรงชื่อ “พล.ต.ท.สุเทพ”
และการโยกพล.ต.ท.นเรศไปนั่งเก้าอี้ “ผบช.ภ.5” ไม่มีความซับซ้อนอะไรมากนัก แม้พล.ต.ท.นเรศจะไม่ได้ชำนาญพื้นที่ภาคเหนือมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะล้านนาล้วนเป็นถิ่นฐานพรรคเพื่อไทย ถิ่นฐานคนเสื้อแดง การขยับมาคุมพื้นที่ภาค 5 จึงไม่ใช่ปัญหาอะไรให้ต้องคิดมากนัก แต่แล้วก็เหมือนวิมานสลาย ทุกอย่างต้องล้มครืน หลังพล.ต.ท.นเรศ ปฎิเสธที่จะย้ายออกจากเก้าอี้ ผบช.ภ.1 ขึ้นไปอยู่ภาคเหนือ โดยมีแรงหนุนจากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ชื่นชมการทำงานของพล.ต.ท.นเรศเป็นกำลังหลัง จนสามารถรั้ง “พล.ต.ท.นเรศ” อยู่ในตำแหน่ง ผบช.ภ.1 ตามเดิม
เมื่อโผพลิก แผนล้ม ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่มีการดิวกันไว้ คนที่ตกที่นั่งลำบากก็กลายมาเป็น “บิ๊กแจ๊ด” ที่น้ำหนักช่วงหลังไม่เหมือนวันที่ประกาศ “มีวันนี้เพราะพี่ให้” เสียแล้ว หัวเริ่มเหม็น เนื้อเริ่มไม่หอม ไม่เป็นที่ชื่นชอบชื่นชมของคนแดนไกลเท่าไหร่ ยิ่งหลังๆถูกนำพฤติกรรมการทำงานแบบเกียร์ว่างๆไปกระซิบข้างหูบ่อย ความต้องการที่เจ้าตัวอยากจะมาอยู่ถิ่นเก่า บช.ภ.1 ก็เริ่มเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
สุดท้ายโผก็เลยมาลงล็อคขยับ พล.ต.ท.สุเทพ มาอยู่"นครบาล" แล้วดันพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ขึ้นเหนือไปเป็น ผบช.ภ.5
อย่างไรก็ดี ห้วงเวลาที่รัฐบาลเป็นเป็นรัฐบาลรักษาการ การโยกย้ายข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะนายตำรวจระดับนายพลเช่นนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องนำรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายพลนอกฤดูท่านความเห็นชอบจาก ก.ตร.แล้วไปขออนุมัติการแต่งตั้งจาก กกต.อีกครั้งหนึ่ง
แต่กระนั้นก็เชื่อว่า “ดิว”นี้หาใช่ปัญหา จนทำให้ กกต.สั่งระงับไม่ให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายตามความต้องการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะทุกอย่างถูกวางเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยเหตุผลตำแหน่งระดับผู้ช่วย ผบ.ตรงว่างลง ก็ต้องขยับระดับ ผบช.ขึ้นแทน และเมื่อขยับ ผบช.ขึ้นแทน ก็ต้องแต่งตั้งคนขึ้น ผบช.ที่ถือว่าเป็นระดับหัวหน้าหน่อย เพื่อไม่ให้กระทบต่อการทำงาน
ส่วนการโยกระนาบระดับ “ผบช.” ก็สลับกันเพียง 2 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าน้อยมาก ไม่ใช่การย้ายสลับใหญ่โตจนมีผลกระทบใดๆต่อหน่วยงาน รวมทั้งหากถูกซักถามการโยกย้ายตำแหน่งสำคัญอย่าง “ผบช.น.” ก็มีเหตุแห่งการทำงานที่เพิ่งถูกจับกุมตู้ม้า ตู้ลูกแก้ว ในพื้นที่ย่านฝั่งธนฯ เป็นช่องโหว่แห่งความจำเป็นต้องโยกย้ายอยู่แล้ว
ทุกอย่างลงตัว “ปิดดิว”เรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร.
แต่ที่ต้องจับตาว่ากันว่า คนที่ผิดหวังไม่ได้กลับถิ่นเก่า อาจเกิดอาการน้อยใจไม่ไปอยู่เหนือ ขอโบกมือบ๊ายบาย อำลาชีวิตราชการก่อนกำหนดก็ได้ใครจะรู้.