กองปราบฯ ตั้งทีมสางคดี “ไอ้ติ๊งต่าง” ฆ่าข่มขืนเด็กรวม 8 คดี ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดแล้ว งัดใช้มาตรฐานการสืบสวนสมัยใหม่แบบไทม์ไลน์ อันประกอบด้วย เหยื่อ-อาชญากร-สถานที่เกิดเหตุ พร้อมเรียกเจ้าของวงหมอลำไหมไทยสอบตารางการเดินสายจัดงานคอนเสิร์ต
วันนี้ (19 ธ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ท.ชัยยง กีรติขจร ผู้ช่วย ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้มีการตั้งคณะพนักงานสอบสวนร่วมกันทั้งในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และ บก.ป.เพื่อพิจารณาดำเนินคดีกับ นายหนุ่ย หรือ ติ๊งต่าง ไม่มีนามสกุล อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนน้องการ์ตูน เด็กหญิงวัย 6 ขวบ แล้วทิ้งศพไว้ในบริเวณพื้นที่รกร้างซอยสุขุมวิท 105 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง แขวงและเขตบางนา กทม.นอกจากนี้ผู้ต้องหายังก่อคดีขึ้นในอีกหลายพื้นที่ ทั้งใน กทม.และจังหวัดต่างๆ รวม 8 คดี ว่าภายหลัง พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ บก.ป.เข้าร่วมประชุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา จึงมีการพิจารณาตั้งคณะทำงานในส่วนของ บก.ป.รวม 22 นาย เพื่อดำเนินการต่อไป
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า สำหรับคณะพนักงานสอบสวนที่ตั้งขึ้นนั้น มีทั้งในส่วนของ กก.1 กก.2 กก.3 และ กก.5 บก.ป.โดยพิจารณาจากพื้นที่เกิดเหตุในจังหวัด ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละกองกำกับการดังกล่าว ซึ่งมี พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เร่งรัดสืบสวนสอบสวนคดี และประสานกับตำรวจท้องที่เกิดเหตุในการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ พร้อมกับกำหนดแนวทางการทำงานเพราะผู้ต้องหารายนี้ก่อคดีในลักษณะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
“พฤติการณ์ของผู้ต้องหาเป็นกรณีที่ต้องสืบสวนหาข้อมูลในเชิงลึกต่อไปว่า นอกจากนี้ 8 คดี ที่ผู้ต้องหาให้การว่าก่อเหตุแล้วนั้น ยังมีเหตุอื่นๆ ที่ผู้ต้องหาได้ก่อเหตุไว้ทั้งก่อนและหลัง จะถูกจับกุมดำเนินคดีและรับโทษจำคุกแล้วด้วยหรือไม่ การพิจารณาดำเนินการอาจต้องใช้มาตรฐานการสืบสวนแบบไทม์ไลน์ ใช้เทคนิคการสืบสวนสมัยใหม่โดยคำนึงถึงหลักสามเหลี่ยมอาชญากรรม ที่ประกอบด้วย เหยื่อ-อาชญากร-สถานที่เกิดเหตุ ส่วนเรื่องกรอบระยะเวลาในการทำงานนั้นก็ต้องเป็นไปตามระยะเวลาในการผลัดฟ้องฝากขังผู้ต้องหา คณะพนักงานสอบสวนคงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด คงต้องมีการประสานเพื่อร่วมตรวจสอบสำนวนคดี โดยในจุดที่พบศพเหยื่อแล้วก็ต้องประสานกับทางท้องที่เกิดเหตุต่อไป ส่วนแต่ละคดีที่เกิดขึ้นก็ต้องแยกสำนวนคดีกัน แต่จะปะติปะต่อเข้าด้วยพยานหลักฐานที่พบ” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้อาจจะต้องมีการพิจารณาเรียกเจ้าของวงหมอลำไหมไทยหัวใจศิลป์ มาสอบปากคำหลังจากได้รับ นายหนุ่ย เข้ามาทำงาน ว่าได้เดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตที่ไหนบ้าง เพื่อตรวจสอบว่าผู้ต้องหาได้เคยไปพักที่ใด และมีโอกาสได้พบกับเด็กที่เป็นเหยื่อเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีกรณีของรายที่ยังไม่ได้แจ้งความเป็นคดี หรือกรณีของเด็กต่างด้าว ส่วนการประสานการทำงานกับพนักงานสอบสวนในท้องที่ต่างๆ นั้น คงจะให้คำแนะนำในเรื่องของการแสวงหาความร่วมมือจากชุมชน เพราะการก่อเหตุของคนร้ายจะอาศัยช่องว่างในช่วงเวลาที่เหยื่อห่างจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ในการล่อลวงหรือพาไปก่อเหตุ โดยทุกครั้งที่ผู้ต้องหาจะลงมือน่าจะมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีของนายหนุ่ย ถือว่าเป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจต้องมีการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ซึ่งขณะนี้ทราบว่ามีการดำเนินการไปแล้ว แต่ทาง บก.ป.คงจะตรวจสอบในรายละเอียดต่างๆ ด้วย เพราะผู้ต้องหารายนี้ถือเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ลงมือกระทำกับเหยื่อที่เป็นเด็กเท่านั้น ทางเจ้าหน้าที่คงต้องใช้ความละเอียดรอบคอบให้มากที่สุดก่อนจะสรุปสำนวนเพื่อส่งฟ้องคดีต่อไป