รมว.กระทรวงยุติธรรม เดินทางมาตรวจเยี่ยมกรมบังคับคดี แนะแนวคิดการแก้ไขปัญหาอัตราคน จะต้องอาศัยความสัมพันธ์แทนที่จะยื่นเอกสาร รวมทั้งการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ควรมีการตรวจสอบและวางแผนให้รอบคอบ
ที่กรมบังคับคดี เมื่อวันที่ (25 ต.ค.) นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นายสุชน ชาลีเครือ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมและชมการทำงานของกรมบังคับคดี โดยมีนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมคณะผู้บริหารให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชมการปฏิบัติงานหน่วยงานต่างๆ ที่สังกัดภายในกรมบังคับคดี
ภายหลังจากนั้น นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิบดีกรมบังคับคดี ได้กล่าวรายงานผลการดำเนินงานว่า ขณะนี้ทางกรมฯได้เริ่มให้มีศูนย์วันสตอปเซอร์วิสในสำนักงานบังคับคดีจำนวน 40 แห่งแล้ว คาดว่ากลางปี 2557 จะสามารถตั้งศูนย์วันสตอปเซอร์วิสในสำนักงานบังคับคดีสาขาให้ครบทั้ง 180 แห่ง ทั้งนี้ จะเริ่มจากสำนักงานบังคับคดีในพื้นที่ที่มีคดีในความรับผิดชอบมากก่อนเป็นลำดับแรก โดยในส่วน กทม.มีคดีในความรับผิดชอบของกรมฯมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนคดีทั้งหมดทั่วประเทศ เท่ากับการตั้งศูนย์ฯช่วยลดคดีที่ค้างดังกล่าว สำหรับในส่วนคดีล้มละลายที่มีคดีค้างอยู่ 6 หมื่นกว่าคดี ขณะนี้คดีลดลงเหลือเพียง 2 หมื่นกว่าคดี
อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า กรมฯยังมีการนำระบบไอที (IT) เข้ามาช่วยเรื่องระบบการรับและจ่ายเงินที่ดำเนินการผ่านสถาบันการเงินในการชำระเงินตามขั้นตอนของกรมบังคับคดี ระบบลงนัดคู่ความ รายงานแจ้งติดหมายประกาศบังคับคดี ตลอดจนตรวจสอบการขายทรัพย์สินทอดตลาดเพื่อขยายรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งนี้ ผลการนำระบบไอทีเข้ามาช่วยงานคดีในความรับผิดชอบของกรมบังคับคดีที่มีปริมาณมากมายมาช่วยลดปริมาณงานที่คั่งค้างได้บ้าง เพราะทางกรมบังคับคดีมีปัญหาเรื่องอัตรากำลังคนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณงานและยังได้รับค่าตอบแทนน้อย จึงกระทบต่อปัญหาบุคคลากรหรือสมองไหล
อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมฯมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนอัตรากำลังคน ซึ่งหากทางกระทรวงมีกำลังคนในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานก็ควรคืนมาให้ทางกรม อาทิ เจ้าหน้าที่ในส่วนของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่เรียกว่า “หน่วยไทยมาร์แชล” นอกจากนี้ทางกรมฯยังมีการพิจารณาเรื่องความก้าวหน้าของเจ้าหน้าที่ โดยจะมีการยกระดับ ผอ.บางตำแหน่งขึ้นเป็นระดับ 9
ทั้งนี้ยืนยันทุกกรมที่อยู่ในกระทรวงยุติธรรม ไม่มีหน่วยงานใดสำคัญไปกว่ากัน และที่สำคัญเรายังดูแลเม็ดเงินมากถึง 2.3 หมื่นล้านบาท
ด้านนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ตนอยากเสนอให้อธิบดีกรมบังคับคดีได้ทำกระบวนการศึกษาวิจัยปัญหาการทำงานของกรมฯที่แท้จริง และเห็นว่าการทำงานไม่ควรเน้นหนักเฉพาะการนำเอาไอทีมาใช้บริหารงานเพราะไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพได้เหมือนการใช้คนทำ รวมทั้งควรจะทำเอกสารโบชัวร์ที่มีเน้นเนื้อหาครอบคลุมและกระชับเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์การทำงานของกรมด้วย
ขณะที่ นายธวัชชัย กล่าวว่า ปัญหาเรื่องอัตรากำลัง เคยเป็นปัญหาในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพินิจฯ ที่รัฐมนตรีว่าการในสมัยนั้นได้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ไปจากรมพินิจ ทั้งที่ทางกรมพินิจได้เสนอให้เพิ่มจำนวนอัตรากำลังพล 470 คน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดรัฐมนตรีไม่ตอบรับข้อเสนอให้มีการเพิ่มจำนวนพนักงานตามที่ทางกรมพินิจฯได้ร้องขอไป หนำซ้ำยังเป็นผู้อนุมัติเองให้นำอัตรากำลังพลเดิมที่อยู่ในกรมพินิจฯไปกระจายให้หน่วยงานอื่นในสังกัดกระทรวงยุติธรรม แต่ปัจจุบันได้มีการนำเจ้าหน้าที่ในหน่วยไทยมาร์แชลไปให้กับทางดีเอสไอ ซึ่งนานเป็นเวลา 2 ปี โดยที่ยังไม่ได้ใช้งานใดๆตนต้องการให้มีการเฉลี่ยกำลังพลคืนกลับมาให้กับหน่วยงานราชการที่มีปัญหาและควรจะนำเรื่องกรอบอัตรากำลังพล กำหนดเป็นวาระของกระทรวงยุติธรรม
ทางด้านนายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ทางดีเอสไอขาดกำลังคนและร้องขอมา ซึ่งคนในหน่วยของไทยมาร์แชลก็ถูกฝึกหัดแบบคอมมานโด ซึ่งเป็นการไม่ถูกที่จะให้มาอยู่กับกรมบังคับคดี ซึงจะให้ผู้ที่ถูกฝึกฝนเหล่านี้มาใช้ทวงหนี้คงจะไม่เหมาะ
นายชัยเกษม กล่าวว่า ที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ซึ่งเรื่องอัตรากำลังนี้ต้องแก้ไขโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ไม่ใช่เพียงแต่จะทำเป็นเอกสารรายงาน ซึ่งอาจจะไม่สำเร็จตามที่ขอกำลังกำลังพล นอกจากนี้ การจะให้ค่าตอบแทนนักกฎหมาย (นิติกร) ของกรมในการให้ค่าตอบแทนสูงกว่าคนกลุ่มอื่น ในกรมอาจจะเกิดปัญหาเรื่องการไม่ยอมรับ ซึ่งบางหน่วยงานในกระทรวงก็มีปัญหาดังกล่าว ดังนั้นอยากขอให้ทางกรมบังคับคดีคิดและวางแผนให้ดี