ชุมชนบางปลาร้องกรมคุ้มครองสิทธิฯ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านเรี่ยไรเงิน (ชมคลิป)

สมาชิกกองทุนหมู่บ้านบางปลา จ.สมุทรสาคร ร้องกรมคุ้มครองสิทธิฯ ช่วยเหลือพิจารณาเรื่องคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านเรี่ยไรเงินกับสมาชิกรายเดือนทั้งที่กองทุนได้ปิดไปแล้ว

คลิกเพื่อรับชมคลิป...


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 ต.ค. ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นางกอบแก้ว วิมานจันทร์ และนางศิริพร ปานลิ้ม พร้อมด้วยตัวแทนผู้เสียหายชาวบ้านชุมชนบางปลา หมู่ 4 ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร กล่า 10 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อร้องทุกข์จากการดำเนินการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการสมาคมเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งประเทศไทย และการบริหารงานของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านบางปลา อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

นางกอบแก้วกล่าวว่า สืบเนื่องจากสำนักงานยุติธรรมจังหวัดสมุทรสาครได้รับการประสานงานการร้องทุกข์ของชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวจากสำนักงานเทศบาลตำบลบางปลา โดยชาวบ้านได้ร้องเรียนคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน หมู่ 4 บางปลา ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยมีนางระเบียบ วิรัชกุล เป็นประธานกองทุนหมู่บ้าน ที่ทราบว่ากองทุนสวัสดิการสมาคมเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งประเทศไทย สาขานครปฐม ตั้งอยู่เลขที่ 18/37 ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม ขาดสภาพคล่องทางการเงินมานานหลายปีแล้ว และได้ปิดทำการไปแล้ว แต่ไม่ยอมแจ้งให้กับสมาชิกรับทราบแต่ยังคงมีการเรียกเก็บเงินกับสมาชิกในทุกๆ เดือน เสมือนว่ามีเจตนาที่จะปกปิดสถานภาพทางการเงินของกองทุนฯ ซึ่งลักษณะของการเรียกเก็บเงินคือ นางระเบียบได้แจ้งต่อสมาชิกที่กู้เงินกองทุนหมู่บ้านว่าจะต้องสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกของกองทุนสวัสดิการสมาคมเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งประเทศไทย โดยอ้างเหตุผลกับสมาชิกว่าหากกรณีที่ผู้กู้เงินกองทุนหมู่บ้านเกิดเสียชีวิตจะได้รับเงินสวัสดิการจากการเข้าเป็นสมาชิก จำนวน 90,000บาท ทั้งนี้การเสียค่าสมัครเป็นสมาชิกแรกเข้านั้นแต่ละคนจะเสียค่าสมัครไม่เท่ากัน ส่วนการเสียค่าธรรมเนียมรายเดือนตั้งแต่ตั้งกองทุน-เดือน ต.ค. 53 จะเสียเพียงเดือนละ 100 บาท และตั้งแต่เดือน พ.ย.53 - พ.ค.56 เสียเพิ่มเดือนละ 200 บาท นอกจากนี้ สมาชิกยังต้องเสียค่าสมาชิกรายปี ปีละ 100 บาท โดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน จะหักเงินที่ได้รับจากกองทุนสวัสดิการฯ ไปชำระคืนให้กับกองทุนหมู่บ้าน ตามที่สมาชิกได้กู้ไป

ทั้งนี้ ชาวบ้านบางส่วนเข้าใจว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่บังคับให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสวัสดิการฯ เพราะคิดว่าถ้าไม่สมัครก็ไม่สามารถกู้เงินกองทุนหมู่บ้านได้ ซึ่งนางระเบียบและคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ยังได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนชาวบ้านที่อยู่นอกพื้นที่ชุมชนบางปลาให้เข้าสมัครเป็นสมาชิก และยังเปิดรับสมัครสมาชิกกองทุนสวัสดิการฯที่มีอายุตั้งแต่ 75-85 ปี เนื่องในโอกาสวันแม่เป็นกรณีพิเศษ อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านเห็นว่ากองทุนดังกล่าวนั้นเป็นนโยบายของรัฐบาลคงได้รับการรับรองสถานะทางการเงินแล้วและเห็นว่าเป็นกิจกรรมความร่วมมือของชาวบ้านในชุมชน จึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสวัสดิการฯ ทั้งหมด 921 ราย โดยแต่ละเดือนสามารถเก็บเงินได้จากสมาชิกเดือนละประมาณ 184,200 บาท

นางกอบแก้วกล่าวอีกว่า กระทั่งเมื่อช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา นางระเบียบได้เรียกประชุมสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและสมาชิกกองทุนสวัสดิการฯ เพื่อแจ้งให้ทราบว่ากองทุนสวัสดิการฯ สาขานครปฐมได้ปิดทำการไปแล้ว และกองทุนดังกล่าวนั้นล้มมานานแล้ว นางระเบียบและคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านบางปลาจึงมาขอมติจากสามชิกกองทุนฯว่าจะส่งเงินต่อหรือว่าจะเลิก หากสมาชิกส่งเงินต่อนั้นทางคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านบางปลาจะมาดำเนินการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการฯ บางปลาเอง โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมกับสมาชิกเท่าเดิม คือ 200 ต่อเดือน หรือถ้าสมาชิกไม่ประสงค์ที่ดำเนินการส่งเงินต่อก็จะพ้นสภาพจากการเป็นสมาชิกทันที และทางกองทุนหมู่บ้านบางปลาจะไม่รับผิดชอบเงินที่สมาชิกจัดส่งมาตั้งแต่แรก ทั้งนี้ สมาชิกที่กู้เงินกองทุนหมู่บ้านกลัวว่าจะไม่สามารถกู้เงินกองทุนหมู่บ้านต่อไปได้ จึงต้องยอมสมัครเป็นสมาชิกกองทุนสวัสดิการฯ ต่อไป

อย่างไรก็ตาม สมาชิกของกองทุนสวัสดิการฯ บางส่วนได้ตั้งข้อสงสัยว่า คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านมีเจตนาที่จะปกปิดสถานภาพทางการเงิน และมีเจตนาที่จะฉ้อโกงเงินของสมาชิกเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เนื่องจากกองทุนดังกล่าวขาดสภาพคล่องทางการเงินและได้ปิดทำการไปแล้ว เหตุใดประธานกองทุนหมู่บ้านและคณะกรรมการกองทุนจึงไม่แจ้งให้สมาชิกทราบ เพราะมีกองทุนหมู่บ้านใน จ.สมุทรสาคร ได้ถอนตัวออกมาหลายแห่งแล้ว แต่กองทุนหมู่บ้านบางปลา กลับไม่ถอนตัวออกมาและยังคงเก็บเงินกับสมาชิกในทุกๆ เดือน ดังนั้น ตัวแทนของผู้เสียหายจึงเดินทางเข้าพบอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิฯ เพื่อให้พิจารณาหรือประสานเรื่องไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น

พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวว่า การที่ผู้เสียหายเดินทางมาพบตนนั้นเพื่อให้ติดตามและช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิอีกแรงหนึ่งซึ่งทางกรมคุ้มครองสิทธิฯจะทำหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร และจะประสานไปยังผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาครที่รับเรื่องดังกล่าวซึ่งดำเนินคดีอยู่เพื่อขอให้เร่งรัดในการดำเนินคดีและขอความเป็นธรรมให้กับประชาชน ร่วมทั้งจะประสานงานไปยังกระทรวงมหาดไทยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะประสานงานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต่อไป