“สมคิด บุญถนอม” จำเลยคดีอุ้มฆ่าอัลรูไวรี เบิกความโต้บันทึกคำให้การจาก ยูเออี ของ “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” พยานในคดีนี้เป็นเท็จ รับฟังไม่ได้ ระบุถูกรื้อฟื้นคดี เพราะการเมืองกลั่นแกล้ง
เมื่อวันนี้ (12 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อ.199/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือ สมชาย จูสนิท ผกก.สภ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง ร่วมกันเป็นจำเลย 1-5 ในคดีร่วมกันอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย
โดยในวันนี้ พล.ต.ท.สมคิด จำเลยที่ 1 ได้เบิกความเพิ่มเติม ซึ่งพยานปาก พล.ต.ท.สมคิด นี้เคยเบิกความไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เนื่องจากต่อมามีการนำบันทึกถ้อยคำของ พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก พยานจำเลยที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี มาใช้ประกอบในสำนวนด้วย ทางทนายจำเลยจึงขออนุญาตศาลให้จำเลยที่ 1 ได้ขึ้นเบิกความอีกครั้ง ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาต โดยกำชับให้เบิกความถึงในส่วนที่เป็นการบันทึกถ้อยคำพยานปาก พ.ต.ท.สุวิชชัย ที่ยูเออี เท่านั้น
พล.ต.ท.สมคิด เบิกความว่า ตนได้อ่านบันทึกถ้อยคำของ พ.ต.ท.สุวิชชัย แล้ว ยืนยันว่าคำให้การของ พ.ต.ท.สุวิชชัย เป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะช่วงที่เคยดำรงตำแหน่งรอง ผกก.กองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลพระนครใต้นั้น ไม่เคยใช้โรงแรมฉิมพลี เป็นเซฟเฮาส์สำหรับกักขังตัว นายอัลรูไวรี และไม่เคยสั่งการให้ พ.ต.ท.สุวิชชัย ไปสอบปากคำแต่อย่างใด รวมทั้งไม่เคยพบเจอ นายอัลรูไวรี ที่โรงแรมฉิมพลี หรือเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่า ซ่อนเร้นทำลายศพแต่อย่างใด เพราะนายอัลรูไวรี ไม่ใช่ผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่สามารถควบคุมตัว กักขัง หรือกระทำการตามที่ถูกกล่าวหาได้ เนื่องจากเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
ส่วนที่ พ.ต.ท.สุวิชชัย อ้างว่ารู้จากผู้ใต้บังคับบัญชาว่าตนสั่งการให้ทีมงานนำศพนาย อัลรูไวรี ไปฝังไว้ในไร่ท้องที่ อ.ศรีราชา นั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และตนไม่เคยมีไร่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และที่ พ.ต.ท.สุวิชชัย อ้างว่าตนได้ทำการข่มขู่พยานนั้น ตนไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับพยาน และไม่เคยข่มขู่แต่อย่างใด ส่วนที่อ้างว่า พ.ต.ท.สุรเดช จำเลยที่ 4 นำแหวนที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีนี้มามอบให้กับ พ.ต.ท.สุวิชชัย ที่ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2547 นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะขณะนั้น พ.ต.ท.สุวิชชัย ยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจังหวัดมีนบุรี ในคดีฆ่าคนตาย ส่วนสาเหตุที่พยานได้ทำบันทึกและมีลักษณะปรักปรำตนเองนั้น เชื่อว่า เนื่องจากพยานเคยเป็นลูกน้องเก่า ของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ มาก่อน และ พ.ต.ท.สุวิชชัย ได้กลับคำให้การต่อดีเอสไอว่า จำเลยกับพวกอุ้มฆ่านายอัลรูไวรี ก็เพราะ พ.ต.ท.สุวิชชัย ต้องการเจรจาต่อรอง เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกจับกุมตัวไปดำเนินคดีตามคำพิพากษาของศาลมีนบุรีในคดีฆ่าคนตาย
พล.ต.ท.สมคิด จำเลยที่ 1 ยังเบิกความต่อว่า สาเหตุที่ถูกใส่ความคดีนี้ เนื่องจากเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับกลุ่มนักการเมืองขั้วอำนาจเก่า เมื่อปี 2549 ซึ่งตนเคยเป็นพยานศาลในคดียุบพรรคพลังประชาชน และเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ใน จ.เชียงใหม่ และภาคเหนือ นอกจากนี้ยังเป็นประเด็นทางการเมือง ที่ต้องการให้ตนและพวกจำเลยต้องถูกจำคุก เพื่อเป็นเงื่อนไขในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับทางซาอุดีอาระเบียอีกด้วย