เจ้าของบังกะโลบนเกาะยาว จ.พังงา ร้องกองปราบถูกมาเฟียยกพวกกว่า 30 คน บุกรื้อบังกะโลพังเสียหาย เผยซื้อที่ดินต่อมาจากเจ้าของเก่าร่วม 15 ล้าน แต่เจ้าของเอาไปขายต่อให้บุคคลที่ 3 ซึ่งอยู่ระหว่างฟ้องร้องกันในชั้นศาล
วันนี้ (9 ก.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 14.00 น.นายธิติ ส่งตระกูล อายุ 64 ปี เจ้าของบริษัท ส่งเสริมทรานเซอร์วิส ประกอบธุรกิจเดินเรือ ร้านอาหาร และบังกะโล อยู่บ้านเลขที่ 299/154 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกทำลายทรัพย์สิน เหตุเกิดที่แหลมไทรบังกะโล และร้านอาหารแหลมไทรซีฟู้ด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.เกาะยาวน้อย อ.เกาะยาว จ.พังงา เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยทำหนังสือร้องทุกข์ เอกสาร และภาพถ่ายที่เกิดเหตุมามอบไว้เป็นหลักฐาน
นายธิติ กล่าวว่า ได้ประกอบธุรกิจทำบังกะโล ที่พักนักท่องเที่ยวและร้านอาหารในพื้นที่ อ.เกาะยาว จ.พังงา หลังจากได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินประมาณ 9 ไร่เศษ จากนางปวีณา สำเภารัตน์ และนายบัญญัติ กล้าสมุทร เจ้าของที่ในราคา 15.96 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2554 โดยมีการวางเงินมัดจำไปแล้วบางส่วน และได้ตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลัง ต่อมาทางเจ้าของที่เดิม กลับนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายต่อให้กับบุคคลอื่นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 โดยมิชอบ ทำให้มีการฟ้องร้องต่อกัน โดยขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล แต่ระหว่างที่ยังรอคำสั่งศาล กลับมีผู้อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ร่วมกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เข้ามาคุกคามและพยายามให้ตนออกจากพื้นที่
นายธิติ กล่าวต่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นการผิดสัญญาต่อกัน ตนจึงยืนยันที่จะดำเนินธุรกิจบังกะโล และร้านอาหารที่ได้ลงทุนไปแล้วต่อไป จากนั้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา จึงมีชายฉกรรจ์ประมาณ 30-40 คน บุกเข้ามาทำลายทรัพย์สินต่างๆ จนเกิดความเสียหาย ซึ่งหลังเกิดเหตุ ตนได้ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.พังงา เพื่อขอให้มีการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น จึงมีการสั่งการให้ตำรวจ สภ.เกาะยาว ท้องที่เกิดเหตุเข้ามาตรวจสอบ แต่คดีก็ไม่มีความคืบหน้า และตนหวั่นเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง จึงต้องเข้าแจ้งความที่ บก.ป.ในครั้งนี้
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ได้รับเรื่องและมอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.สอบปากคำผู้ร้องและเร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินคดี โดยยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับกรณีที่เกิดขึ้น