รอง ผบช.น.รับลูกยินดีรับข้อมูลกรรมการสิทธิฯ คดี “เอกยุทธ” ชี้ญาติร้องขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนเป็นสิทธิที่ทำได้ ปัดเป็นดุลพินิจอัยการที่จะให้ารื้อสำนวนสอบสวนใหม่หรือไม่ หากจะนำข้อมูลของ กสม.มารวมอยู่ในสำนวนใหม่
วันนี้ (14 ส.ค.) เวลา 10.15 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน เปิดเผยจากกรณีที่ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน แถลงข่าวสรุปผลการตรวจสอบคดีฆาตกรรมนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังและเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ว่าถูกฆ่าด้วยท่าพิเศษจากมืออาชีพ ไม่ได้เสียชีวิตจากฝีมือของผู้ต้องหาที่จับกุมได้ ซึ่งญาติของนายเอกยุทธเตรียมยื่นหนังสือต่อกองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อขอเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ขณะนี้สำนวนคดีนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ที่ถูกฆาตกรรมใกล้เสร็จสิ้นแล้ว แต่ในส่วนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกมาแถลงว่านายเอกยุทธไม่ได้เสียชีวิตจากการฆ่าของผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้นั้น เรื่องนี้ยังไม่เห็นเอกสารดังกล่าวจาก (กสม.) ก็คงยังให้ความเห็นไม่ได้ แต่ทั้งนี้พนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้ก็มีหลายหน่วย ทั้งตำรวจกองบังคับการปราบปราม รวมถึงนิติวิทยาศาสตร์ด้วย และพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็เข้ามาควบคุมคดีด้วย ตำรวจยืนยันว่าทำคดีตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องเอาข้อมูลจาก (กสม.) มารวมอยู่ในสำนวนคดีด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ถ้าข้อมูลหรือเอกสารมีประโยชน์ ก็คงจะนำมาปรึกษาหารือกัน และยินดีจะนำมาอยู่ในสำนวนด้วย อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักๆ ในการทำคดีก็ไม่มีการขัดแย้งกันระหว่างพนักงานสอบสวนกับของ (กสม.) อีกทั้งตำรวจก็ทำงานเอง และสัมผัสกับพยานหลักฐานโดยตรง แต่หากกสม.มีอะไรเพิ่มเติมก็สามารถนำมาให้กับพนักงานสอบสวนได้ ถามต่อว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าการฆาตกรรมนายเอกยุทธ เกิดจากมืออาชีพ พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ตำรวจคงไม่ไปเถียงกันเพราะยังไม่เห็นหลักฐาน คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และส่วนตัวเชื่อในระบบยุติธรรมของศาล ที่น่าจะให้คำตอบได้
เมื่อถามอีกว่าทางญาตินายเอกยุทธไปร้องเรียนกองบัญชาการสอบสวนกลาง ขอให้เปลี่ยนพนักงานสอบสวน เพราะไม่เชื่อการทำงานของพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของญาติที่สามารถกระทำได้ อย่างไรก็ตาม ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ก็เข้ามาร่วมทำคดีเป็นพนักงานสอบสวนด้วย แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนพนักงานสอบสวนก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชาจะมีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงหรือไม่ ส่วนพยานหลักฐานในขณะนี้ก็มีเพียงพอที่จะส่งฟ้องผู้ต้องหาได้ ก็ต้องอยู่ที่ดุลพินิจของศาล แต่ทั้งนี้ก็ยังตั้งประเด็นเรื่องการฆ่าชิงทรัพย์ไว้ก่อนเพราะมีน้ำหนักมากที่สุด แต่ในส่วนประเด็นอื่นๆ ก็ไม่ตัดทิ้ง
ในส่วนของ กสม. ตำรวจก็ให้ความร่วมมือทุกอย่าง เรียกไปชี้แจงก็ไป แต่หากมีข้อมูลอื่นๆ ที่ดีก็ยินดีจะรับข้อมูลมาประกอบสำนวนคดี แต่หากไปให้ข้อมูลด้านนอก ก็ยากจะเข้ามาอยู่ในสำนวนได้ แต่เท่าที่ดูยังไม่เห็นเอกสารของ กสม. เห็นว่าจะส่งไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากเห็นเอกสารก็คงจะพิจารณาได้ว่ามีอะไรที่เป็นประโยชน์บ้างพอจะอยู่ในสำนวนได้ เมื่อถามว่าความเห็นของอัยการจะมีผลอย่างไรต่อการส่งฟ้องผู้ต้องหาหรือไม่ พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ก็ขึ้อยู่กับดุลยพินิจของอัยการ ตำรวจก็มีดุลพินิจของตำรวจในการทำสำนวนดคี ซึ่งทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่ใช่จินตนาการ