สน.พระอาทิตย์/สามยอด
ยุทธวิธีเขย่าขวัญสั่นประสาท “ม็อบ”ชุมนุมคัดค้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) ในนามกลุ่ม”กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ที่ตำรวจนำมาใช้ในการควบคุมการชุมนุม โดยพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว แม่ทัพใหญ่สีกากี ได้รับมอบหมายจากครม.ชุดเล็กให้เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องถือว่าเป็นการเดินเกมรุกอย่างแข็งกร้าว
แม้จะไม่สามารถรั้งม็อบพันธุ์แท้ไม่ให้มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามได้ แต่ม็อบพันธุ์ทางที่ใจไม่เห็นด้วยกับความพยายามดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา ก็ต้องชะงัก ลังเล ไม่กล้าจะออกร่วมชุมนุมซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มคนจำนวนไม่น้อย ด้วยเกรงจะไม่ปลอดภัย เพราะตำรวจขู่เช้าขู่เย็น ชนิดที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การชุมนุม ที่ส่วนใหญ่ม็อบจะเป็นฝ่ายรุก ตำรวจจะยกกำลังมาเพื่อสกัดตั้งรับเท่านั้น
แต่นี่...ตำรวจขู่ม็อบกันตั้งแต่ไก่โห่!!!
พล.ต.อ.อดุลย์ ตั้งแถวเรียงหน้ามาพร้อมด้วย พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร. พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยะ รองผบช.น. ในนาม “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย” หรือ “ศอ.รส.” นำตำรวจใส่ชุดเครื่องแบบปราบจลาจลเต็มยศ พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ในการควบคุมการชุมนุม ขนกันมาแบบจัดหนักทั้งปืนยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง แก๊สน้ำตาชนิดต่างๆ โล่ กระบอง มาตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่โต ถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
พล.ต.อ.อดุลย์ พยายามชี้แจงการแถลงข่าว ในท่วงทำนองสร้างความเข้าใจให้ประชาชน ภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใน 3 เขตพื้นที่ ประกอบด้วย เขตดุสิต เขตพระนคร และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ระหว่างวันที่ 1-10 ส.ค. ว่า ฝ่ายความมั่นคงเห็นตรงกันว่าจะมีการชุมนุมจนก่อให้เกิดความวุ่นวาย จึงต้องประกาศกฎหมายฉบับดังกล่าวขึ้นมารองรับ แต่จะไม่กระทบการใช้ชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ และประชาชนสามารถเข้ามาร่วมชุมนุมได้ตามปกติ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ
แต่ก็แฝงสัญญาณข่มขู่ม็อบไปในที เมื่อพล.ต.อ.วรพงษ์ ร่ายยาวแนวทางการใช้กำลังในสถานการณ์การชุมนุม บอกจะพิจารณาตามความจำเป็น หากมีการใช้กำลังจะเริ่มเบาที่สุด และจะต้องมีหลักของความรับผิดชอบ จัดเตรียมการบรรเทา หรือเยียวยาหลังการใช้กำลังไว้ด้วย
“ขั้นตอนการใช้กำลังจะเริ่มจากการวางกำลังในเครื่องแบบปกติ การจัดรูปขบวน การวางกำลังพร้อมอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน การเคลื่อนไหวกดดัน คลื่นเสียง แก๊สน้ำตา ปะทะบังคับร่างกาย ฉีดน้ำ กระสุนยาง และสุดท้ายคืออาวุธปืนเฉพาะบุคคล โดยตามคำสั่งที่ 1 เราได้ตัดขั้นตอนอาวุธปืนเฉพาะบุคคลออกไป….
…ตามลำดับสากลที่เห็นเป็นขั้นบันไดนั้น เป็นลำดับความรุนแรงของการปฎิบัติในการใช้กำลัง เช่น ลำดับการใช้ความรุนแรงของแก๊สน้ำตา จะเบากกว่าการใช้โล่กระบอง (ปะทะบังคับร่างกาย) หรือการใช้แก๊สน้ำตาเบากว่าการฉีดน้ำ ซึ่งตรงนี้อาจจะขัดกับความรู้สึกของประชาชน แต่ขอเรียนว่าการใช้แก๊สน้ำตาจะส่งผลเพียงแค่แสบตา เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาทีก็กลายเป็นปกติ แต่การใช้โล่กระบอง อาจจะทำให้บวมและช้ำเป็นสัปดาห์ได้”
ข่มขู่ออกอากาศประกาศให้กลัวกันไปทั้งเมือง!!!
มิหนำซ้ำ แค่ใช้หลักจิตวิทยาด้วยการขู่ถึงความรุนแรงอย่างเดียวยังไม่พอ ตำรวจยังงัดหลักปฏิบัตินำมาใช้ตัดตอนการชุมนุม ด้วยการเพิ่มความเข้มข้นในการตั้งด่านตรวจสกัดอาวุธและสิ่งผิดกฎหมาย รวมถึงการห้ามใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะใน 12 เส้นทางโดยรอบ
ถนนราชสีมา ตั้งแต่แยกสวนรื่นฤดี ถึงแยกประชาเกษม, ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกวังแดง ถึงแยกพาณิชย์, ถนนอู่ทองใน ตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึงลานพระราชวังดุสิต, ถนนลิขิต, ถนนพระราม 5 ตั้งแต่สะพานอรทัย ถึงแยกสุโขทัย, ถนนสุโขทัย ตั้งแต่แยกสวนรื่นฤดี ถึงแยกสุโขทัย, ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือน ถึงแยกราชวิถี, ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่แยกพระรูป ถึงแยก จปร.,ถนนลูกหลวง ตั้งแต่สะพานวิศุกรรมนฤมาณ ถึงสะพานเทวกรรม, ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงถนนราชวิถี, ถนนนครปฐม และถนนกรุงเกษม ตั้งแต่แยกประชาเกษม ถึงแยกเทวกรรม
ตั้งแต่คืนวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ยาวไปถึงวันที่ 10 ส.ค.2556
ทั้งๆที่กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศการชุมนุมวันแรกเมื่อ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา และอาจจะมีอีกครั้งในวันที่ 7 ส.ค. แต่ตำรวจกลับประกาศปิดเส้นทางกันถึงวันที่ 10 ส.ค.ซึ่งนอกจากสกัดกั้นการชุมนุมแล้ว ยังริดรอนสิทธิผู้อื่นในการใช้เส้นทางสัญจร และสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนเกินความจำเป็น
ซึ่งต่างจากคำยืนยันของพล.ต.อ.อดุลย์ ที่อ้างการขอให้ ครม.อนุมัติประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงจะไม่กระทบการใช้ชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ ตามสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ เพียงเพราะต้องการสกัดม็อบให้อยู่หมัดเอาใจรัฐบาลและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น
ทำให้สะท้อนภาพ การทำงานทั้งหมดที่ผ่านมาในการดูแลการชุมนุมครั้งนี้ ตำรวจไม่ได้ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง การออกมาเสนอหน้าผ่านจอทีวีชี้แจงให้ประชาชนรับรู้ รับทราบการปฏิบัติงาน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นมาตรการเอาตัวรอด สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง
และที่สำคัญแอ็คชั่นต่างๆที่ตำรวจแสดงการทำงาน ชนิดปกป้องรัฐบาลสุดลิ่มทิ่มประตู ยังถูกถ่ายทอดไปสู่สายตา พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้กุมอำนาจตัวจริง เสมือนเป็นการโชว์ผลงานแลกกับการเสริมคานเหล็กเก้าอี้ผู้นำให้แข็งแกร่งต่อไปตลอดรอดฝั่ง.