xs
xsm
sm
md
lg

ศอ.รส.ออกประกาศห้ามม็อบเข้าทำเนียบฯ-รัฐสภา 12 เส้นทางโดยรอบ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ออกประกาศ 3 ฉบับ ตั้งจุดสกัดห้ามเข้าหรือออก 12 เส้นทางโดยรอบ ทำเนียบและอาคารรัฐสภา โดยการควบคุมฝูงชนจะดำเนินการตามหลักสากล ยอมรับแนวโน้มการชุมนุมจะมีเหตุการณ์นำไปสู่การยกระดับได้ ประเมินจำนวนผู้เข้าร่วมเบื้องต้นหลักหมื่น


วันนี้ (2 ส.ค.) ที่ห้องสารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ในฐานะอำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ในฐานะเลขาธิการ ศอ.รส. พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น.ในฐานะรอง ผบ.กองกำลัง นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศ ร่วมกันแถลงข่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เพื่อออกประกาศคำสั่ง ศอ.รส.3 ฉบับ เพื่อรองรับการชุมนุมคัดค้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ในนามกลุ่ม “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” รวมถึงกลุ่มแนวร่วมต่างๆ

โดย พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใน 3 เขตพื้นที่ ประกอบด้วย เขตดุสิต เขตพระนคร และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ระหว่างวันที่ 1-10 ส.ค. เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงเห็นตรงกันว่าจะมีการชุมนุมจนก่อให้เกิดความวุ่นวาย จึงต้องมีการประกาศกฎหมายฉบับดังกล่าวขึ้นมารองรับ แต่จะไม่กระทบการใช้ชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ และประชาชนสามารถเข้ามาร่วมชุมนุมได้ตามปกติ เนื่องจากเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและปราศจากอาวุธ

ด้าน พล.ต.อ.วรพงษ์กล่าวว่า ขณะที่แนวทางการใช้กำลังในสถานการณ์การชุมนุมจะพิจารณาตามความจำเป็น แต่หากมีการใช้กำลังจะเริ่มเบาที่สุด และจะต้องมีหลักของความรับผิดชอบ จัดเตรียมการบรรเทา หรือเยียวยาหลังการใช้กำลังไว้ด้วย โดยเราจะดำเนินการตามหลักสากล คือ ระเบียบการปฎิบัติของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายขององค์การสหประชาชาติปี 1979, หลักการพื้นฐานว่าด้วยการใข้กำลังบังคับ และการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจการใช้กฎหมายขององค์การสหประชาชาติปี 1990, คู่มือหน่วยตำรวจควบคุมฝูงชนขององค์การสหประชาชาติปี 1999 จากหลักการทั้ง 3 ข้างต้น นำมาซึ่งการกำหนดขั้นตอนการปฎิบัติรับมือการชุมนุมครั้งนี้ ซึ่งตามหลักสากลนั้น ขั้นตอนการใช้กำลังจะเริ่มจากการวางกำลังในเครื่องแบบปกติ การจัดรูปขบวน การวางกำลังพร้อมอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน การเคลื่อนไหวกดดัน คลื่นเสียง แก๊สน้ำตา ปะทะบังคับร่างกาย ฉีดน้ำ กระสุนยาง และสุดท้ายคืออาวุธปืนเฉพาะบุคคล โดยตามคำสั่งที่ 1 เราได้ตัดขั้นตอนอาวุธปืนเฉพาะบุคคลออกไป

“ทั้งนี้ ตามลำดับสากลที่เห็นเป็นขั้นบันไดนั้น เป็นลำดับความรุนแรงของการปฎิบัติในการใช้กำลัง เช่น ลำดับการใช้ความรุนแรงของแก๊สน้ำตา จะเบากกว่าการใช้โล่กระบอง (ปะทะบังคับร่างกาย) หรือการใข้แก๊สน้ำตาเบากว่าการฉีดน้ำ ซึ่งตรงนี้อาจจะกับความรู้สึกของประชาชน แต่ขอเรียนว่าการใช้แก๊สน้ำตาจะส่งผลเพียงแค่แสบตา เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาทีก็กลายเป็นปกติ แต่การใช้โล่กระบอง อาจจะทำให้บวมและช้ำเป็นสัปดาห์ได้ แต่ขอเรียนว่าไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับการใช้อุปกรณ์ตามลำดับดังกล่าว แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นหลัก อย่างเมื่อเกิดเหตุการณ์ 2 กลุ่มที่สนับสนุนและต่อต้านเข้าปะทะกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้โล่กระบอง ก่อนที่จะมีการใช้แก๊สน้ำตา เพื่อผลักดันกลุ่มมวลชนทั้งสองออกจากกัน” เลขาธิการ ศอ.รส.ระบุ

พล.ต.อ.วรพงษ์กล่าวต่อว่า การที่เราจะวินิจฉัยว่าจะใช้ลำดับอุปกรณ์ใดก่อน จะขึ้นอยู่กับ ผบ.เหตุการณ์ และจากหลักการรับผิดชอบนั้น จึงได้มอบหมายให้ผู้บัญชาระดับสูงลงไปรับผิดชอบ ซึ่งจะมีการมอบหมายนายตำรวจระดับ ผบช.หรือรอง ผบช.ลงไปควบคุมตำรวจควบคุมฝูงชนด้วยตนเอง

ขณะที่ พล.ต.ต.ปริญญากล่าวว่า สำหรับการปฏิบัติการครั้งนี้ตำรวจจะเน้นให้ความสงบเรียบร้อยให้แก่ประชาชน รวมถึงอาคารสถานที่ราชการ โดยการปฎิบัติจะยึดตามหลักอดทนอดกลั้น และหากมีการใช้กำลัง จะเป็นไปตามนโยบายการใช้กำลัง สำหรับเรื่องการจราจรนั้น ทาง บช.น.ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่จราจรสนับสนุนจราจรในพื้นที่ พร้อมติดป้ายแจ้งเตือนเส้นทางต่างๆ ในระยะไกล หรือนำเส้นทางหลีกเลี่ยงพื้นที่การชุมนุม ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการข่าวที่มีการประเมินว่าจะมีการใช้ความรุนแรง ตรงนี้จะเป็นความรุนแรงลักษณะใด พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่จากการข่าวหลายสำนักได้ระบุตรงกันว่า แนวโน้มจะมีเหตุการณ์นำไปสู่การยกระดับได้ แต่ตนขอเรียนว่าการออกกฎหมาย พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะไม่กระทบกับประชาชนส่วนใหญ่ และสามารถเดินทางเข้ามาร่วมการชุมนุมได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย ปราศจากอาวุธ ไม่ก่อความรุนแรง ซึ่งจากการที่เราออกกฎหมายดังกล่าวมาจะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ดี แต่บางครั้งที่ไม่มีการออกกฎหมายนี้มารองรับ ทำให้สถานการณ์ถูกยกระดับไปอยู่ในจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้นั้นเอง

เมื่อถามว่า จากข้อมูลด้านการข่าวพบว่ากลุ่มที่จะมาร่วมชุมนุมมีกี่กลุ่ม และมีการประเมินจำนวนผู้ชุมนุมไว้เท่าไหร่ พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า จากข้อมูลทางการข่าวหลายฝ่ายมีการประเมินว่า จะมีผู้มาร่วมชุมนุมอย่างต่ำประมาณ 4 พันคน และสามารถเติมเข้ามาได้เรื่อยๆ ยกระดับเป็น 1-7 หมื่นคนได้ ซึ่งการประเมินนั้น เราใช้วิธีการคิดจากทางการข่าวที่ดูจากแนวร่วมต่างๆ อย่างไรก็ตามจะต้องมีการดูสถานการณ์อยู่เป็นระยะ ซึ่งก่อนหน้านี้ในการชุมนุมของกลุ่ม พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ช่วงแรกเราก็ได้ประเมินไว้แบบนี้ แต่เมื่อทางตำรวจสามารถยับยั้งได้ ส่งผลให้จำนวนผู้มาร่วมชุมนุมลดลงไปและสถานการณ์ยุติโดยเร็ว ทั้งนี้ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับการเตรียมการของเจ้าหน้าที่ หากไม่มีความพร้อมจะทำให้เกิดการยกระดับได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วง ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุม ได้เปลี่ยนยุทธวิธีชุมนุมแบบดาวกระจายตามจังหวัดต่างๆ ตรงนี้ตำรวจก็ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้ดูแลแล้ว

ต่อข้อถามว่า ในการใช้กำลังตั้งแต่วันที่ 1-10 ส.ค.จะมีการใช้กำลังของตำรวจเพียงหน่วยเดียวหรือไม่ พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า ตามแผนขั้นต้นจะมีการใช้กำลังตำรวจอย่างเดียว แต่ในแผนของ ศอ.รส.ยังมีแผนการใช้กำลังของหน่วยความมั่นคงอื่นๆ ที่เตรียมพร้อมอยู่ และเข้ามาเสริมได้ตามแต่จำเป็น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประกาศคำสั่งปฏิบัติการ ศอ.รส.3 ฉบับ ประกอบด้วย ฉบับที่ 1/2556 ซึ่งมีใจความสำคัญ ในการห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด เข้าหรือต้องออก จากบริเวณพื้นที่ อาคารทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา รวมถึงห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ 12 เส้นทางโดยรอบ ได้แก่ ถนนราชสีมา ตั้งแต่แยกสวนรื่นฤดี ถึงแยกประชาเกษม, ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกวังแดงถึงแยกพาณิชย์, ถนนอู่ทองใน ตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึงลานพระราชวังดุสิต, ถนนลิขิต, ถนนพระราม 5 ตั้งแต่สะพานอรทัยถึงแยกสุโขทัย, ถนนสุโขทัย ตั้งแต่แยกสวนรื่นฤดี ถึงแยกสุโขทัย, ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือน ถึงแยกราชวิถี, ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแน่แยกพระรูป ถึงแยก จปร., ถนนลูกหลวง ตั้งแต่สะพานวิศุกรรมนฤมาณ ถึงสะพานเทวกรรม, ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงถนนราชวิถี, ถนนนครปฐม, ถนนกรุงเกษม ตั้งแต่แยกประชาเกษม ถึงแยกเทวกรรม

ประกาศคำสั่งปฏิบัติการ ศอ.รส.ฉบับที่ 2/2556 และฉบับที่ 3/2556 ระบุห้ามใช้เส้น 12 เส้นทางดังกล่าว และห้ามพกเครื่องกระสุนปืน สิ่งเทียมอาวุธ วัตถุระเบิด รถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในเส้นทางตามที่ประกาศห้าม รวมถึงห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน










กำลังโหลดความคิดเห็น