เสร็จสิ้นไปแล้วกับการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลสีกากีระดับรอง ผบ.ตร.-ผบช.หรือ “โผใหญ่” วาระประจำปี 2556 โดยครั้งนี้มีการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น และโยกสลับระนาบเดียวกันรวม 44 ตำแหน่ง
ที่สำคัญนับเป็นครั้งแรกกับการกลับคืนถิ่นเก่าของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตอธิบดีกรมตำรวจคนสุดท้าย และผู้บัญชาการตำรวจแหงชาติ (ผบ.ตร.) คนแรก โดยการกลับมาในครั้งนี้สวมหมวกรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อันที่จริงการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ไม่มีอะไรหวือหวามากมายนัก เพราะอย่างที่ทราบว่าตำแหน่งที่มีการโยกสับเปลี่ยนไม่ใช่ตำแหน่งสำคัญอันมีนัยยะทางการเมือง หรืออยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ขณะเดียวกันตำแหน่งที่ถูกจับตาในการแต่งทุกครั้ง อาทิ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ท.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผบช.สตม.และ พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผบช.ส.ยังคงสามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ขณะที่ในส่วนของภูธร พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 ที่ความใกล้ชิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังได้รับความไว้วางให้คุมพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของคนเสื้อแดง เช่นเดียวกับ พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ.5 เด็กในคาถาของ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ยังคงได้รับความไว้วางใจให้คุมพื้นที่ภาคเหนือ อันเป็นเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย และ พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบช.ภ.7 มือทำงานของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ที่ถูกวางตัวให้ดูแลพื้นที่ภาคตะวันตก ยังคงเหนียวหนึบรักษาเก้าอี้เอาไว้ได้
ขณะที่ตัวบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งนี้ก็ล้วนแต่เป็น “คนกันเอง” เป็นเด็กในสังกัด เป็นคนทำงานให้พรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น เพราะอย่างที่ทราบตั้งแต่รัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามามีอำนาจ ได้มีการย้ายล้างบางนายตำรวจที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไปจนหมดสิ้น การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการแบ่งเค้กของผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งระหว่างฝ่ายการเมือง กับ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.
สำหรับตำแหน่งที่น่าสนใจ อาทิ การโยกที่ปรึกษา (สบ10) เข้าไลน์หลัก 3 ตำแหน่ง ได้แก่ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน นรต.35 บุตรเขย พล.ต.อ.ประชา เป็นจเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) พล.ต.อ.รชต เย็นทรวง และ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ นรต.30 เป็น รอง ผบ.ตร.
ขณะที่ตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.เลื่อนขึ้นรอง ผบ.ตร.ตามลำดับอาวุโส ได้แก่ พล.ต.ท.ไตรรัตน์ อมาตยกุล รองหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (สบ9) (รอง หน.นรป.) เป็น หน.นรป.(สบ10) พล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฏฐ์ พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี พล.ต.ท.อุดม รักศิลธรรม พล.ต.ท.ชนินทร์ ปรีชาหาญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ขึ้นเป็นที่ปรึกษา (สบ10)
ส่วนตำแหน่ง ผบช.เลื่อนขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร.ซึ่งเป็นไปตามลำดับอาวุโส อาทิ พล.ต.ท.ชัยยะ ศิริอำพันกุล จเรตำรวจ (สบ8) เลื่อนเป็นรอง จตช.(สบ9) พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.ภ.2 นรต.32 หลานเขยคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.สำหรับ พล.ต.ท.วินัย ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าถูกวางตัวจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เป็นผู้นำองค์กรสีกากีต่อจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ และพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ซึ่งเจ้าตัวยังเหลืออายุราชการอีก 4 ปี
สำหรับตำแหน่งระดับ ผบช. พล.ต.ท.กวี สุภานันท์ ผบช.ภ.3 นรต.33 สายตรง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โยกมาเป็น ผบช.ภ.2 คุมพื้นที่ภาคตะวันออก ขณะที่ พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ กลิ่นพงษา ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.นรต.32 คนทำงานของ พล.ต.อ.อดุลย์ อดีตหน้าห้อง พล.ต.อ.ประชา โยกไปเป็นผบช.ภ.3 คุมภาคอีสานตอนล่าง ส่วน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง มือทำคดีคนเสื้อแดงได้ดีขึ้นเป็นผบช.ภ.4 คุมพื้นที่อีสานตอนบน นอกจากนี้ยังโยก พล.ต.ท.วรศักดิ์ นพสิทธิพร จเรตำรวจ (สบ8) นรต.29 เพื่อนร่วมรุ่น พล.ต.อ.อดุลย์ ที่เพิ่งติดยศ พล.ต.ท.หมาดๆ จากการแต่งตั้งวาระนอกฤดูกาล โยกไปเป็น ผบช.ภ.6 คุมพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และคนกันเองกับรัฐบาลอย่าง พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.สพฐ.ตร.ไปเป็น ผบช.ภ.8 คุมภาคใต้ตอนบน
อย่างไรก็ตามในการแต่งตั้งครั้งนี้ก็มีปัญหาเล็กๆ ให้ ก.ตร.ที่ถูกมองว่าชอบลอยตัวอยู่เหนือปัญหาต้องพิจารณาจนถึงขั้นมีการโหวต อาทิ การยื่นให้พิจารณานับอาวุโสของ พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษา (สบ10) ซึ่งในที่สุด ก.ตร.ก็มีมติให้ยกคำร้องและกรณี พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงศ์ แพทย์ใหญ่ รพ.ตร.ที่ไม่ขอขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.ทั้งที่มีอาวุโสสูงสุด ก.ตร.18 คน งดออกเสียง 1 คน คะแนนเสียงเป็น 8 ต่อ 8 ก่อนที่ประธาน ก.ตร.จะโหวตตัดสินเห็นชอบตามที่ ผบ.ตร.เสนอคือ ให้ พล.ต.ท.จงเจตน์ อยู่ในตำแหน่งเดิม
สะท้อนให้เห็นว่าระบบการโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ยังอยู่ในวังวนภายใต้อิทธิพล “นักการเมือง” อยู่วันยังคำ ไม่ต้องพูดถึงระบบอาวุโส และความสามารถ ความเหมาะสม เพราะยุคนี้เป็นยุคสาวได้สาวเอา ไม่แคร์สื่อ ไม่แคร์สังคม กลิ่นโชยเน่าๆ ของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่าเน่าแล้ว ยังไม่ “เน่าเหม็น” เท่าระบบการโยกย้ายข้าราชการตำรวจไทย ที่มักถูก “นักการเมือง” เข้ามาล้วงลูกทุกยุค ทุกสมัย...