สน.พระอาทิตย์/สามยอด
ความคลุมเครือประเด็นการฆาตกรรม “เอกยุทธ อัญชันบุตร” นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซด์เดอร์ ซึ่งเป็นคู่ปรับสำคัญระบอบทักษิณ
ผ่านมากว่า 2 อาทิตย์ หลังจากตำรวจนครบาล ลูกน้องพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จับกุม “ไอ้บอล”สันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถพร้อมพวก ก็ยังคงเป็นข้อสงสัยในสังคมว่าใช่แค่การ “ชิงทรัพย์”อย่างที่ตำรวจน้อยใหญ่พยายามเร่งปิดคดีหรือไม่
พฤติการณ์แห่งคดีหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง ดูจะมีช่องโหว่ให้เกิดข้อสงสัยมากมาย และตำรวจผู้ทำคดีก็ไม่มีคำตอบที่กระจ่างชัด
เนื้อหาคำให้การผู้ต้องหาที่รับสารภาพกระทำไปเพื่อการแก้แค้นและหมายชิงทรัพย์ก็ดูมีข้อขัดแย้งกับพฤติกรรมคดี ที่เล่ามาตั้งแต่การอุ้มเอกยุทธจากร้านอาหารไปจนถึงปลายทางการนำร่างไร้วิญญาณของคู่ปรับระบอบทักษิณไปฝั่งกลางป่าเขาจังหวัดพัทลุง
ข้อพิรุธ ข้อสงสัย ที่ถูกตั้งมาจากสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความเอกยุทธทั้ง 13 ข้อ คือ 1.เรื่องมูลเหตุจูงใจ หากคนร้ายประสงค์ต่อทรัพย์ เหตุใดจึงนำสร้อยคอทองคำ พระสมเด็จเลี่ยมทอง และนาฬิกาโรเล็กซ์ของนายเอกยุทธไปทิ้งน้ำ แต่เงิน 5 ล้านบาทกลับเอาไป 2.การลงมืออุ้มนายเอกยุทธ ไม่เชื่อว่านายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือนายบอล และนายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือนายเบิ้ม สองผู้ต้องหาจะลงมือกระทำได้โดยลำพัง น่าจะมีบุคคลอื่นร่วมมือด้วย
3.ระหว่างที่นายบอลอยู่ที่ร้านครัวกระแต จากกล้องวงจรปิดพบว่านายบอลพูดคุยโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้หายไป ไหนยังไม่ได้มีการตรวจสอบประวัติการโทรฯ จึงขอให้สืบหาโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ 4.จากคำรับสารภาพของนายบอลในครั้งแรก อ้างว่ารับการติดต่อจากนายเปี๊ยก ซึ่งเป็นคนที่เอากุญแจมือ และโทรศัพท์มือถือมาให้นายบอลใช้งานในการอุ้มนายเอกยุทธครั้งนี้ จึงอยากรู้ว่านายเปี๊ยกคือใคร มีตัวตนจริงหรือไม่
5.ฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดภายในบ้านนายเอกยุทธมีระบบเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต สามารถดูผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือไอแพดของนายเอกยุทธได้ ขอให้ตรวจสอบบริษัทที่ให้บริการกล้องวงจรปิดด้วย 6.จากคำให้การของนายบอลและนายเบิ้มขัดกันอยู่หลายประการ 7.เนื่องจากนายบอล และนายเอกยุทธมีรูปร่างใกล้เคียงกัน ญาตินายเอกยุทธไม่เชื่อว่าลำพังตัวต่อตัว นายบอลจะสามารถบีบคอนายเอกยุทธถึงแก่ความตายได้ จึงขอให้หากล้องวงจรปิดที่อยู่ในละแวกลาดกระบัง ซึ่งเป็นบริเวณที่นายเอกยุทธเสียชีวิตตามคำให้การ
8.นายเบิ้มให้การว่าไปช่วยนายบอลขนศพนายเอกยุทธขึ้นรถหลังจากที่นายเอกยุทธตายแล้ว ขอให้สอบปากคำเพิ่มว่าหน้าตาของนายเอกยุทธมีการถูกทุบทำร้ายหรือไม่ 9.ให้ตรวจสอบว่าบุคคลใดนำกระเป๋ายี่ห้อหลุยส์วิตตองที่ใส่เอกสารของนายเอกยุทธไป
10.ประเด็นเรื่องลูกอัณฑะของนาย เอกยุทธ ที่มีการบวม เกิดขึ้นจากธรรมชาติการตายหรือไม่ หรือถูกบีบเพื่อทำร้าย ขอให้ทางการแพทย์ตรวจสอบด้วย 11.ประเด็นที่ว่ามีกลุ่มชายผู้ต้องสงสัยอยู่บริเวณปากซอยประดิพัทธ์ 17 หน้าโรงแรมประดิพัทธ์ในวันที่เกิดเหตุนายเอกยุทธหายตัวไป ขอให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของร้านแลกเปลี่ยนเงินตรา ที่อยู่ตรงข้ามกันด้วย
12.ขอให้ตรวจรถตู้โฟล์คของกลางให้ละเอียดอีกครั้งว่า พบลายนิ้วมือแฝงหรือดีเอ็นเอของบุคคลอื่นอีกหรือไม่ และ 13.ประเด็นเสื้อผ้าของนายเอกยุทธ ที่นายบอลอ้างว่าทำลายไปแล้ว เสื้อถ้าหากได้มาจะสามารถตรวจดีเอ็นเอจากเหงื่อ หรือเลือด ทำให้รู้ว่ามีผู้ใดร่วมกันทำร้ายนายเอกยุทธอีกบ้าง
ซึ่งทั้ง 13 ข้อสงสัย ควรที่จะต้องเร่งหาคำตอบให้ปรากฏออกมาอย่างกระจ่าง เพราะนั่นจะทำให้ชนวนเหตุการฆาตรกรรมเอกยุทธปรากฏออกมาชัดเจนที่สุด
แต่อีกหนึ่งมุมมองในคดีนี้ที่ไม่ควรข้าม คือ ทัศนะจากชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว เรื่อง “ชิงทรัพย์หรือฆาตกรรมอำพราง?” ที่เจ้าตัวเขียนไว้อย่างน่าสนใจ
โดยเฉพาะการอ้างอิงมุมมองที่ได้รับรู้มาจาก อดีตนายตำรวจใหญ่ ที่ชูวิทย์บอกว่า เป็นตำรวจที่เกษียณไปแล้ว เป็น “ปรมาจารย์สืบสวนสอบสวน”
เนื้อความที่ชูวิทย์ได้รับการวิเคราะห์คดีจากระดับ “ปรมาจารย์สืบสวนสอบสวน” ฟันธงแบบไม่มียึกยักว่า เรื่องเอกยุทธ ไม่ใช่เรื่อง “การชิงทรัพย์” หรือ “เรียกค่าไถ่” แต่เป็นการ “ฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน”
พร้อมกับเหตุผลสนับสนุน คนร้ายไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์ แม้กระทั่งเข้าไปในบ้าน ก็ไม่ได้รื้อค้นทรัพย์สิน ส่วนทรัพย์ที่ได้มา ก็เอาไปโยนทิ้งน้ำ แต่ดันไปเอาเซิร์ฟเวอร์ซึ่งจริงๆอาจไม่ได้ต้องการข้อมูลในกล้องอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีข้อมูลสำคัญอื่นๆอยู่ด้วย ถ้าชิงทรัพย์จริงต้องเอาทรัพย์สินที่บ้านไปด้วย และที่ว่าไม่ใช่เป็นการเรียกค่าไถ่ เพราะบังคับให้เขียนเช็คได้เงินแล้ว ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัว แสดงว่าประสงค์ต่อชีวิตมากกว่าทรัพย์
ปรมาจารย์สืบสวนสอบสวนที่ชูวิทย์อ้างถึง ยังมองว่า ไอ้บอลอาจจะเป็นพวกรู้มาก แต่ไม่ใช่มือสังหารตัวจริง ที่สำคัญหน้าตา ร่างกายของไอ้บอลไม่มีบาดแผลหรือรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว แถมคุยโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา เหมือนรับคำสั่งอยู่ มีการวางแผนโดยทีมมืออาชีพ สังหารเอกยุทธที่บริเวณพื้นที่ที่บอลอ้างว่าเอกยุทธเปิดประตูรถหนีลงไป เพราะ ช่วงเวลาตรงนี้บอลอ้างว่าวิ่งตามเอกยุทธไปแล้วพลั้งมือไปฆ่าตายเสียแล้ว ยังไปบอกเบิ้มว่าให้เอาเชือกรัดคอเบิ้มบอกว่า ตายแล้วจะให้รัดคอซ้ำทำไม แล้วบอลก็บอกทำตามที่บอกแล้วกัน
ส่วนประเด็นสภาพศพ ปรมาจารย์สืบสวนสอบสวนของชูวิทย์ก็ตั้งข้อสังเกต ทีแรกเอาไปฝังอีกที่หนึ่ง อย่างที่แรกๆออกข่าวว่าเจอศพที่พัทลุงแล้ว ต่อมาบอกว่าไม่เจอ เมื่อนำนายบอลไปหา ก็จำไม่ได้ว่าฝังศพที่ไหน หาอยู่ครึ่งวัน บอกว่าฝนตกหนักทั้งๆที่วันนั้นฝนตกแค่กรุงเทพ ที่พัทลุงฝนไม่ได้ตก ศพเพิ่งถูกย้ายเอามาฝังอีกที่หนึ่ง ถอดเสื้อผ้าออกหมด เพราะอาจเป็นหลักฐานสำคัญ ที่มี DNA ของทีมสังหารติดอยู่
พร้อมกับฟันธง...นี่คือ “ฆาตกรรมอำพราง” ส่วนทีมงานที่ทำมันไม่เนียนเท่าไหร่ ผลการสอบสวนก็ออกมาทะแม่งๆแบบนี้
เป็นอีกหนึ่งข้อวิเคราะห์ที่น่าสนใจ และไม่น่าจะมองข้าม เพราะแม้หลายคนอาจจะมีทัศนะคติด้านลบกับชูวิทย์ในบางเรื่อง เห็นเป็นพวกชอบโม้ ชอบอวดรู้ แต่สำหรับเรื่องนี้ที่มีการอ้างถึงมุมมองจากปรมาจารย์สืบสวนสอบสวน ดูจะมีน้ำหนักน่ารับฟังไม่น้อย
เพราะหากให้เดา ปรมาจารย์ที่ชูวิทย์อ้างถึง มองคดีได้ทะลุเช่นนี้ น่าจะไม่ใช่ใครน่าจะเป็น “อาจารย์คง”หรือ “พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี” อดีตตำรวจนักสืบระดับอาจารย์ ที่ผ่านคดีสำคัญมามากมาย ซึ่งชูวิทย์รู้จักสนิทสนมมานานหลายสิบปี และก็ยอมรับในฝีมือการทำงาน
ข้อสงสัย 13 ข้อจากทนายสุวัตร และมุมมองจากปรมาจารย์สืบสวนสอบสวนที่ชูวิทย์นำมาถ่ายทอด ถือเป็นสิ่งที่พนักงานสอบสวนของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ควรจะนำไปพิจารณาและตอบโจทย์ทุกข้อสงสัยให้กระจ่างชัด เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อรูปคดีการฆาตรกรรมเอกยุทธ หากมีความจริงใจในการทำคดีอย่างจริงจังเหมือนอย่างที่ยืนยันออกมาจากพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว แม่ทัพใหญ่สีกากี
การยึดเพียงคำรับสารภาพของผู้ต้องหาสาเหตุการฆาตกรรมเอกยุทธมาจากเรื่องชิงทรัพย์ โดยปราศจากมูลเหตุจูงใจในการฆาตกรรมทีเพียงพอ อาจเป็นช่องโหว่ ช่องว่าง ในสำนวนคดี เมื่อถึงห้วงเวลาการสรุปคดีไปในชั้นอัยการ หรือในชั้นศาล
พยานหลักฐานอาจจะไม่เพียงพอให้ดำเนินคดีกับคนผิด
อย่าให้ศักดิ์ศรี”ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”ถูกกลืนกินด้วย ผลประโยชน์ เงินทอง ลาภยศ ตำแหน่ง จนไม่เหลือความภูมิใจให้ลูกหลานและชาวบ้านอีกเลย