xs
xsm
sm
md
lg

คู่กรณี “ลูกชูวิทย์” ร้อง สตช.ขอความเป็นธรรม

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ผู้ต้องหาคดีปล้น “ลูกชูวิทย์” ร้องขอความเป็นธรรมต่อ สตช. เหตุ สน.ดินแดงแจ้งข้อหาเกินกว่าเหตุ ยันแค่ทะเลาะวิวาท เกรงใช้อำนาจทางการเมืองกลั่นแกล้ง

วันนี้ (24 เม.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายกฤษฎา นัยสดับ นายอดุลวิทย์ เอกมหาชัย นายสุรศักดิ์ สัมฤทธิ์ นายณรงค์ฤทธิ์ สิงห์ศรีโว นายธนาชัย นัยสดับ ผู้ต้องหาคดีร่วมกันปล้นทรัพย์นายต่อตระกูล กมลวิศิษฎ์ ลูกชายนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่านทาง พ.ต.อ.ยิ่งรัตน์ สอาดยิ่ง ผกก.อก.สำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินคดี

นายณรงค์ฤทธิ์กล่าวว่า วันเกิดเหตุคนเองพร้อมเพื่อนรวม 4 คน เดินทางกลับมาจากที่เที่ยวย่านรัชดาฯ ได้เดินข้ามฝั่งมารับประทานข้าวมันไก่กัน ภายในซอยรัชดาฯ ซอย 3 พบว่านายต่อตระกูล ซึ่งไม่ได้ใส่เสื้อนั่งกินอยู่แล้วกับเพื่อนอีก 2 คน ระหว่างที่นั่งรับประทานก็คุยกันในกลุ่มตามภาษาคนเมา นายอดุลวิทย์ พูดขึ้นมาว่า “ทำไมกูกินเหล้าแล้วไม่เมาว่ะ” ตนก็พูดกลับไปว่า “มึงจะเมาได้อย่่างไร มึงเดินวนหาหญิงอย่างเดียว” นายต่อตระกูล ซึ่งนั่งโต๊ะติดกันพูดขึ้นว่า “วนเหี้ยอะไร” พวกตนก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร

นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวอีกว่า จนกระทั่งนายต่อตระกูลได้ออกไปจากร้านและมาเจอกันที่เกิดเหตุ จึงตะโกนถามว่า “เมื่อกี๊พูดอะไรออกมาไหม” นายต่อตระกูล ก็บอกว่า “แล้วจะทำไม” หลังจากนั้นก็มีปากเสียงกัน โดยที่นายธนาชัยซึ่งพบกันหลังจากที่ขี่จักรยานยนต์ไปซื้อข้าวมันไก่ที่ปากซอย กับนายกฤษฎาได้เข้าไปแยกคู่กรณีและจะง้างมือ เพื่อไล่นายต่อตระกูลและพวก จากนั้นทางฝ่ายนายต่อตระกูลและเพื่อนได้วิ่งหนีไป ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุตนได้ต่อยโดนนายต่อตระกูลครั้งเดียวเท่านั้น และทางกลุ่มตนไม่มีมีด และไม่ได้ไปปล้นแต่อย่างใด เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทกันธรรมดาเท่านั้น อยากให้สื่อมวลชนและตำรวจให้ความเป็นธรรมด้วย เนื่องจากพวกตนเป็นคนธรรมดา ขณะที่คู่กรณีเป็นลูกนักการเมืองชื่อดัง เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินคดี

ด้าน นายกฤษฎา กล่าวว่า พวกตนยืนยันว่าไม่ได้ใช้อาวุธมีดปล้นนาฬิกาของนายต่อตระกูลแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่ามีการทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายจริง พวกตนไม่ได้ทำตามที่ถูกกล่าวหา อยากให้ตำรวจให้ความเป็นธรรมด้วย การแจ้งข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์มันหนักเกินไป ตอนนี้พวกเราเดือดร้อนมากต้องไปกู้เงินมาประกันตัวคนละ 3 แสน ไปทำงานก็ต้องถูกตราหน้าว่าไปปล้นเขาทั้งที่ไม่ได้ทำ

นายกฤษฎา กล่าวต่ออีกว่า พวกตนสมัครใจกันไปมอบตัวแสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดินแดง ได้ขอความร่วมมือในการขอเข้าตรวจค้นบ้านพัก ซึ่งก็ยินดีเพราะบริสุทธิ์ใจ ผลการตรวจค้นไม่ได้พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม คดีจึงน่าจะจบแล้ว ภาพกล้องวงจรปิดในร้านสะดวกซื้อ ก็เห็นว่านายต่อตระกูลไม่ได้ใส่นาฬิกา แต่ตอนหลังเขาก็ออกมาแก้ว่าเอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ให้การกลับไปกลับมา และที่น่าสงสัยคือทำไมปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาหลายวันถึงไปแจ้งความ

กำลังโหลดความคิดเห็น