ผู้ต้องหาพร้อมญาติกว่า 30 คนโวยตำรวจตั้งหารุนแรงร่วมกันปล้นทรัพย์ “ลูกชูวิทย์” ยืนยันความบริสุทธิ์ไม่ได้ปล้น แค่ทำร้ายร่างกาย ท้าสื่อฯ ร่วมตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ “แม่-ลูก” ร่ำไห้ขอความเป็นธรรมหวั่นลูกติดคุกฟรี
วานนี้ (23 เม.ย.) ที่บริเวณอาคารมาลีนนท์ทาวเวอร์ แขวงคลองตัน เขตคลองเตย นายณรงค์ฤทธิ์ สิงห์ศรีโว อายุ 20 ปี, นายอดุลย์วิทย์ เอกมหาชัย 20 ปี, นายกฎษฎา นัยสดับ อายุ 26 ปี, นายธนาชัย นัยสดับ อายุ 31 ปี และนายสุรศักดิ์ สัมฤทธิ์ อายุ 20 ปี พร้อมญาติกว่า 30 คนเดินทางมาขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนที่บริเวณด้านหน้าอาคารมาลีนนท์ ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์นายต่อตระกูล กมลวิศิษฎ์ อายุ 17 ปี บุตรชายของนายชูวิทย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เหตุเกิดภายในซอยประชาสงเคราะห์ 2 แขวงและเขตดินแดง เมื่อช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา สาเหตุเนื่องจากนายชูวิทย์เป็นนักการเมืองชื่อดัง เกรงจะทำให้รูปคดีเปลี่ยนไป
นายธนาชัยกล่าวว่า ที่เดินทางมาร้องเรียนสื่อวันนี้เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชน รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ด้วยการร่วมกันตรวจสอบกล้องวงจรปิด และพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับคดีนี้ให้ละเอียด เพื่อพิสูจน์ความจริงต่อสังคม ตนเองและเพื่อนยืนยันว่าไม่ได้ใช้อาวุธมีดปล้นทรัพย์นายต่อตระกูล ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือยี่ห้อบลูการี มูลค่า 8 หมื่นบาทไปอย่างที่ถูกกล่าวหา และถ้าทำจริงก็หนีไปแล้วทั้งยังสมัครใจและนัดกันไปพบพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
ทั้งนี้ ตนมีอาชีพขี่จักรยานยนต์รับจ้าง มีลูก 3 คน แม่วัย 58 ปีก็พิการขาไม่มีแรงทั้งสองข้าง ส่วนคนอื่นๆ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาก็ต้องทำงานและดูแลครอบครัว เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นต่างก็ได้รับความเดือดร้อน และถูกสังคมกล่าวหาว่าเป็นโจรผู้ร้าย ทั้งที่ความจริงแค่มีเรื่องทะเลาะกันธรรมดาเท่านั้น แต่กลับถูกแจ้งข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นข้อหาที่หนักเกินไป ทั้งที่ไม่ได้ทำ พวกตนจึงขอออกมาวอนสื่อเพื่อให้ผู้ใหญ่และสังคมได้รับรู้ความจริง นอกจากนี้ พวกตนก็กลัวว่าจะถูกทำร้ายด้วยเนื่องจากคราวก่อนมีการทำร้ายผู้ต้องหาผิดตัวเกิดขึ้น
นายธนาชัยกล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดินแดงได้ขอความร่วมมือในการขอเข้าตรวจค้นบ้านพัก ซึ่งก็ยินดีเพราะบริสุทธิ์ใจ ผลการตรวจค้นไม่ได้พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม คดีจึงน่าจะจบแล้วโดยเข้าใจ และขอขอบคุณ ผกก.และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ดินแดงทุกนายที่ทำงานอย่างเป็นกลาง
ขณะที่นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุพร้อมเพื่อนรวม 4 คน เดินทางกลับมาจากที่เที่ยวย่านรัชดาภิเษก ได้เดินข้ามฝั่งมารับประทานข้าวมันไก่กันภายในซอยรัชดาฯ ซอย 3 พบว่านายต่อตระกูลซึ่งไม่ได้ใส่เสื้อนั่งกินอยู่แล้วกับเพื่อนอีก 2 คน ระหว่างที่นั่งรับประทานก็คุยกันในกลุ่มตามภาษาคนเมา ซึ่งก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร จนกระทั่งนายต่อตระกูลออกไปจากร้านและมาเจอกันที่เกิดเหตุ จึงตะโกนถามว่า “เมื่อกี๊พูดอะไรออกมาไหม” นายต่อตระกูลก็บอกว่า “แล้วจะทำไม” หลังจากนั้นก็มีปากเสียงกัน โดยที่นายธนาชัยซึ่งพบกันหลังจากที่ขี่จักรยานยนต์ไปซื้อข้าวมันไก่ที่ปากซอยกับนายกฤษฎาได้เข้าไปแยกคู่กรณี และจะง้างมือเพื่อไล่นายต่อตระกูลและพวก จากนั้นทางฝ่ายนายต่อตระกูลและเพื่อนได้วิ่งหนีไป ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุตนได้ต่อยโดนนายต่อตระกูลครั้งเดียวเท่านั้น และทางกลุ่มตนไม่มีมีด และไม่ได้ไปปล้นแต่อย่างใด
นายณรงค์ฤทธิ์ยังกล่าวอีกว่า รู้สึกเสียใจที่ทำเรื่องเกิดขึ้น นอกจากนี้ ขอฝากไปถึงคู่กรณีด้วยว่าเป็นลูกผู้ชาย ต่อยจริงก็ยอมรับต่อยจริง และอยากให้คู่กรณีออกมาพูดความจริงเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ทางกลุ่มดังกล่าวกำลังให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวอยู่นั้น นายธนาชัย พร้อมนางแสวง นัยสดับ อายุ 58 ปี มารดาได้ร้องไห้ออกมา และให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่าถูกกลั่นแกล้ง ถ้านายธนาชัยไม่อยู่แล้วใครจะดูแลนางแสวง และที่ออกมาวันนี้แค่ต้องการให้ผู้ใหญ่ให้ความเป็นธรรม และวอนสื่อมวลชนให้ช่วยเหลือเผยแพร่ความจริงเท่านั้น นอกจากนี้ลูกชายของผู้ต้องหาคนหนึ่งได้กล่าวว่า “พ่อผมไม่ผิด” โดยหลังจากทางกลุ่มดังกล่าวเข้าขอความเป็นธรรมกับทางช่อง 3 แล้ว ในวันที่ 24 เม.ย.นี้ เวลา 11.00 น. นี้ ผู้ต้องหาทั้ง 5 คนพร้อมญาติจะเดินทางไปขอความเป็นธรรมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป