สน.พระอาทิตย์ / สามยอด
ไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย การบอกเลิกสัญญาจ้างบริษัท พีซีซี เดเวล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ก่อสร้างโครงการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง วงเงิน 5,848 ล้านบาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยเหตุผลไม่สามารถส่งมอบงานที่แล้วเสร็จสมบูรณ์ตามสัญญาภายในวันที่ 17 เม.ย.2556
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันเงื่อนไขหลักในการตัดสินใจบอกเลิกสัญญา คือการไม่สามารถส่งมอบงานที่เสร็จสมบูรณ์ได้ตามสัญญา และเนื้องานตามระยะเวลาที่กำหนดมีความคืบหน้าเพียง 12% เท่านั้น รวมถึงมีพฤติการณ์ของการจ้างช่วงต่อจากผู้รับเหมารายอื่น
“การบอกเลิกสัญญาครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมั่นใจว่าได้ทำตามสัญญาอย่างถูกต้องตามที่สำนักงานส่งกำลังบำรุง และคณะกรรมการตรวจการจ้างรายงานมา...ส่วนค่าเสียหายและค่าปรับทั้งหมด ฝ่ายกฎหมายจะดำเนินการในส่วนนี้ ซึ่งกำลังรวบรวมอยู่อาจจะต้องใช้เวลา”
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการออกมาโยนระเบิดลูกใหญ่ของ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาบริษัท พีซีซีฯ หลังบริษัทถูกบอกเลิกสัญญาว่า การบอกเลิกสัญญาแสดงให้เห็นว่าทางบริษัทถูกดึงไปเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง โดยมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาคอยจัดการเชื่อมโยงกับเหล่าผู้มีอำนาจในรัฐบาลไปก่อนหน้านี้ และเมื่อทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเลิกสัญญากับบริษัท พีซีซีฯ ทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ซึ่งครบองค์ประกอบในการดำเนินการตามความผิดมาตรา 157
“ขณะนี้พีซีซีฯกลายเป็นเหยื่อที่ถูกดึงเป็นเครื่องมือในการจัดการคู่ขัดแย้งทางการเมือง โดยมีคนจากแดนไกลสั่งให้ยิงมิสไซต์ลูกนี้มาใส่เรา เพื่อหวังผลทางการเมืองกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่แล้ว”
ดูเหมือนสิ่งที่ บริษัท พีซีซีฯ ออกมาโยนระเบิดไว้จะมีน้ำหนักให้สังคมเอนเอียงเชื่อถือพอสมควร
เนื่องจากหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถูกพุ่งเป้าการหาผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นไปที่ฝ่ายการเมืองขั้วตรงข้ามรัฐบาลอย่างเดียว โดยไม่มีการแตะต้องลงโทษลงทัณฑ์ตำรวจที่เกี่ยวข้องมาร่วมรับผิดชอบต่อความผิดพลาดครั้งนี้แต่อย่างใด
เพราะทันทีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติบอกเลิกสัญญา ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ออกมารับไม้ต่อมือว่า การบอกเลิกสัญญาครั้งนี้เป็นข้อเท็จจริง ที่จะทำให้น้ำหนักในการดำเนินคดีของดีเอสไอมากขึ้น เพราะคู่สัญญาหรือ สตช.ได้ข้อยุติแล้วว่าบริษัท พีซีซีฯ ทำผิดสัญญา
“ดีเอสไอจะสรุปสำนวนสั่งฟ้องบริษัท พีซีซีฯ คดีฉ้อโกงและฮั้วประมูลต้นเดือน พ.ค.นี้”
นั่นก็หมายความถึงการสั่งฟ้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 แห่ง ในฐานะผู้มีอำนาจบริหารงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติขณะนั้น ที่ดีเอสไอดำเนินการสอบสวนในข้อกล่าวหาการฮั้วประมูล
ตรงกันข้ามกับการหาข้าราชการตำรวจที่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาด ในการคัดเลือก การพิจารณา หรือการดำเนินการให้บริษัท พีซีซีฯ มาก่อสร้างโครงการโรงพักครั้งนี้ รวมทั้งการขยายเวลาการก่อสร้าง ทั้งๆ ที่รู้ว่าแนวโน้มการก่อสร้างโรงพักไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเสร็จทันตามกำหนด
กลับไม่มีอะไรคืบหน้าชัดเจนว่า ใครที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ บอร์ดกลั่นกรอง ก.ตร.ที่มี นนทิกร กาญจนจิตรา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (เลขาฯ ก.พ.) เป็นประธาน พิจารณาแต่งตั้งระดับ ผู้บัญชาการ (ผบช.) เมื่อวันที่ 29 มี.ค. มีมติเห็นชอบโยกย้าย พล.ต.ท.สุพร พันธุ์เสือ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง (ผบช.สกบ.) มาเป็น ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจสอบภายใน (ผบช.สตส.) สลับให้พล.ต.ท.สุชีพ หนูนาง ผบช.สตส.โยกมมาเป็น ผบช.สกบ.
โดยมีเหตุผลลองรับทำนอง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.เสนอเปลี่ยนตัว พล.ต.ท.สุพร เพื่อรับผิดชอบต่อความผิดพลาดในการบริหารสัญญาโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 แห่ง ในฐานะที่รับผิดชอบงานส่งกำลังบำรุง และเป็นผู้เสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อสัญญาการก่อสร้างให้บริษัท พีซีซีฯ โดยให้ พล.ต.ท.สุชีพ ซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อย (นรต.29) รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.อดุลย์ ไปดูแลงานส่งกำลังบำรุงแทน
แต่พอวันที่ 9 เม.ย. ในการประชุม ก.ตร.ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ไม่ได้มีการนำมติบอร์ดกลั่นกรอง ที่เสนอแต่งตั้งโยกย้าย พล.ต.ท.สุพร สลับกับ พล.ต.ท.สุชีพ เข้าหารือเพื่อลงมติตามที่บอร์ดกลั่นกรองเสนอแต่อย่างใด
ท่ามกลางกระแสลือสะพัดเหตุผลการเชือดสุพรสังเวยโรงพักฉาว ถูกเบรกออกจากวงประชุม ก.ตร.เพราะมีสายตรงจากแดนไกลแสดงความไม่พอใจที่มีการเปลี่ยนคนที่ตัวเองส่งลงไปดูแลการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ในกรมปทุมวันออกจากตำแหน่ง
ตอกย้ำชนวนเหตุความพยายามเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงพักตำรวจไม่เสร็จทันตามกำหนด ไม่ใช่เพื่อประโยชน์องค์กร ไม่ใช่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดกับประชาชน ซึ่งต้องเสียโอกาสมาใช้บริการสถานีตำรวจ หรือเงินภาษีอากรที่สูญเสียไป ทั้งการสร้างไม่เสร็จ หรือการนำเงินมาสร้างใหม่ แต่เป็นการวางธงปูทางความผิดเอาไว้ที่นักการเมืองขั้วตรงข้าม
ระเบิดลูกใหญ่ที่ถูกโยนใส่กรมปทุมวันครั้งนี้ จะเป็นระเบิดจริงหรือระเบิดของเล่นเด็ก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้เสียหาย ต้องมีคำอธิบายให้สังคมรับรู้อย่างชัดเจน
ไม่เช่นนั้นภาพพจน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะเสียหาย