xs
xsm
sm
md
lg

รอปาฏิหาริย์ “น้องเอย” เหยื่อครูชุ่ย

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


โดยผู้กองตั้ง
 
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงสัปดาห์นี้ คงไม่มีเหตุการณ์ที่น่าสลดหดหู่ใจเท่ากับ ด.ญ.มนัสนันท์ ทองภู่ หรือน้องเอย อายุ 3 ขวบ เด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 1 ต่อความประมาทเลินเล่อกับครูพี่เลี้ยงและคนขับรถตู้ของ โรงเรียนอนุบาลอนงค์เวท จ.สมุทรปราการ ที่ปล่อยให้น้องเอยถูกอบสดอยู่ภายในรถตู้ซึ่งจอดตากแดดนานกว่า 4 ชั่วโมง ส่งผลให้น้องเอยเกิดอาการสมองบวม และก้านสมองถูกกดทับ กลายเป็นเจ้าหญิงนินทราตั้งแต่วันเกิดเหตุ

นี่คืออันตรายที่เป็นพวงมาจากพิษความร้อนภายในรถที่พุ่งสูงขึ้นตลอดทุกนาที ซึ่งหากเกิน 30 นาทีไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็ไม่สามารถต้านทานได้ ทว่าคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นเพราะขาดอากาศหายใจเนื่องจากประตูหน้าต่างปิดสนิทเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัยแม้จะเกิดจากความประมาทก็ตาม

ณ เวลานี้ น้องเอยนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู หออภิบาลผู้ป่วยหนัก 4 ที่โรงพยาลกรุงเทพ โดยแพทย์ระบุอาการล่าสุดว่าตอนนี้น้องเอยมีอัตราการเต้นของหัวใจสัญญาณชีพปกติ และยังต้องใช้เครื่องหายใจ ภาวะเลือดเป็นกรดในเลือดดีขึ้นแล้ว แต่การทำงานของเอนไซม์ในตับแย่ลง ส่วนอาการสมองบวมนั้นยังทรงตัว มีภาวะการทำงานของก้านสมองลดลง ทีมแพทย์ได้ติดเครื่อง EEG เพื่อดูการทำงานของเซลล์สมองเป็นระยะ

สรุปแล้ว อาการน้องเอยยังอยู่ในขั้นวิกฤตและรอปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเท่านั้น

นางรัตนา นครโสภา แม่น้องเอยได้ลำดับเหตุการณ์ให้ฟังถึงวันก่อนเกิดเหตุว่า รถตู้ไปถึงโรงเรียนในเวลา 09.45 น.ซึ่งทาง น.ส.ดาวรอง ศรีสมุ้ง อายุ 37 ปี ครูพี่เลี้ยง ได้อ้างว่า น้องเอยร้องไห้งอแงและวิ่งขึ้นไปหยิบกระเป๋าที่ลืมไว้บนรถ ระหว่างนั้นครูพี่เลี้ยงซึ่งกำลังดูแลเด็กอีกคนที่อาเจียนอยู่ ก็นึกว่าน้องเอยหยิบกระเป๋าและลงมาจากรถไปเข้าห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว จึงปิดประตูรถโดยไม่ได้ตรวจสอบ ก่อนที่นายสันติภาพ หวานใจ อาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ ที่เป็นคนขับรถตู้ขับรถไปเก็บโดยที่ไม่ทราบว่าน้องอยู่บนรถ จนมาพบน้องอีกทีตอนเวลา 13.30 น. จึงรีบนำน้องส่งโรงพยาบาล

ทว่า กว่าทางโรงเรียนจะโทรศัพท์มาแจ้งนางรัตนาว่าลูกสาวอยู่ในห้องไอซียูก็เป็นเวลา 15.53 น. แล้ว แถมพอนางรัตนาพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องเอย ครูที่โทรศัพท์มาแจ้งก็ไม่ยอมบอกและโยนให้ครูพี่เลี้ยงเป็นคนเล่าให้ฟังเอง

เมื่อทราบเรื่องนางรัตนาก็รีบมาที่โรงพยาบาล ซึ่งสภาพของน้องเอยที่เห็นในตอนนั้นดูแย่มาก น้องเอยหน้าเขียวและมีอาการชักเกร็ง มือถูกมัดไว้กับเหล็กที่กั้นเตียงและกระตุกตลอดเวลา ซึ่งแพทย์ได้บอกว่าอาการชักนั้นเกิดจากการที่สมองขาดออกซิเจน เมื่อน้องชักมาก ๆ ก็ทำให้สมองบวมจนไปกดทับก้านสมอง ทางแพทย์เองก็แนะนำให้นำน้องเอยส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอื่น เพราะพิจารณาแล้วว่าน้องเอยอาการหนักถึงขั้นโคม่า ซึ่งทางโรงพยาบาลมีอุปกรณ์ไม่พร้อมที่จะรักษาน้อง

นางรัตนาพยายามคาดคั้นคุณครูที่อยู่หน้าห้องไอซียูว่าเกิดอะไรขึ้น ในเวลาประมาณ 20.00 น. ทางคณะครูจึงเพิ่งเข้ามาขอโทษและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่โดยส่วนตัวแล้วนางรัตนาไม่เชื่อว่าเรื่องเป็นความจริง เพราะมีความขัดแย้งกันอยู่มาก เพราะการที่เด็กจะหายไปสักคนนั้นมันเป็นเรื่องผิดปกติ ทำให้เกิดพิรุธว่า ทำไมพวกครูพี่เลี้ยงถึงไม่สงสัยเลยว่าน้องเอยหายไปไหน ตามปกติถ้าน้องหายไปสัก 10 - 15 นาทีก็ควรจะโทร.แจ้งผู้ปกครองแล้ว

อีกทั้งด้านคดีความในช่วงแรกๆ ทางโรงเรียนและครูพี่เลี้ยงพยามยามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ปากคำตำรวจ โดยอ้างว่ายังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง สภ.บางปูต้องออกหมายเรียกทำให้ น.ส.ยุวเรศ คีรีวงค์ ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียน พร้อมครูพี่เลี้ยงทั้งสองคนยอมเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยทั้งหมดถูกตั้งข้อกล่าวหา กระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส

หลังการให้ปากคำ ผอ.รร.อนุบาลฯ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดยมีการทำบันทึกข้อตกลงกันต่อหน้าตำรวจ และ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี รวมทั้งสื่อมวลชน เพื่อเป็นพยานว่า ทางโรงเรียนจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของน้องเอย จนกว่าจะหายเป็นปกติ หรือจนกว่าผู้ปกครองจะพอใจ

ขณะที่ แม่น้องเอย กล่าวว่า ไม่สามารถพูดอะไรได้ คิดถึงแต่ความปลอดภัยของลูก อยากให้ฟื้นคืนสติกลับมาโดยเร็ว แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินอาการคืบหน้าได้ โดยในระหว่างนี้อยู่ในช่วงรอปาฏิหาริย์ จึงได้ตัดสินใจปฏิบัติอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของน้องเอย รวมถึงเพื่อให้ผลบุญนั้นส่งผลให้น้องเอยฟื้นอีกครั้ง

ขณะที่รายงานข่าวยืนยันตรงกันว่านางจินดามณี เพชรบัวศักดิ์ อายุ 63 ปี มารดาของ นายสันติภาพ ครูที่ขับรถตู้ของน้อยเอย เพิ่งเสียชีวิตที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตกโดยเครียดกับข่าว และกระแสสังคมที่เกิดขึ้นกับลูกชาย ซึ่งนางจินดามณีป่วยและเข้ารักษาตัวตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา แต่ก็อาการไม่ดีขึ้นจนมาเสียชีวิตในที่สุด
ทั้งนี้ นายสันติภาพ โชเฟอร์รถตู้คันเกิดเหตุนั้น อยู่ในอาการที่โศกเศร้าอย่างมาก ที่ต้องสูญเสียมารดากะทันหัน และต้องเผชิญกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งที่ปกติเป็นคนรักเด็ก โดยยืนยันว่าเป็นความผิดพลาดไม่ได้ตั้งใจและพร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง และเข้าใจแม่ของน้องเอยที่ลูกต้องมาเจ็บหนัก ส่วนนางจินดามณีนั้น ปกติก็แข็งแรง อาจมีโรคประจำตัวบ้างตามอายุ แต่เพิ่งเครียดหนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น จนเส้นเลือดในสมองแตกและเสียชีวิตดังกล่าว

เหตุการณ์นี้ถือเป็นละครเรื่องเศร้า ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเพราะทั้งสองต่างพบความสูญเสียและต้องตกเป็นคดีความ ทั้งนี้ผลกรรมเกิดขึ้นก็เพราะความประมาทเลินเล่อในหน้าที่ แม้หลายฝ่ายจะช่วยกันวิงวอนให้ เหตุการณ์"น้องเอย" ตกเป็นเหยื่อรายสุดท้าย แต่ก็คงไม่มีใครกล้ารับประกัน หากผู้ปกครองหรือครูพี่เลี้ยงยังประมาทในหน้าที่ คดีนี้ก็เปรียบเสมือนสุภาษิต"วัวหายล้อมคอก"เช่นเคย....

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 เม.ย. “น้องเอย” ได้เสียชีวิตลงแล้ว แพทย์ระบุสมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะสำคัญต่างๆ สูญเสียการทำงาน นาวาอากาศเอก (พิเศษ) นายแพทย์ไพศาล จันทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมด้วยนายเอกชัย ทองภู่ และนางรัตนา นครโสภา บิดาและมารดาเด็กหญิงมนัสนันท์ ทองภู่ หรือน้องเอย อายุ 3 ขวบ ร่วมกันแถลงข่าวหลังจากเมื่อเวลาประมาณ 08.50 น.น้องเอยได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ เนื่องจากสมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะสำคัญต่างๆ สูญเสียการทำงาน และเนื่องจากเป็นการเสียชีวิตผิดธรรมชาติ ทางโรงพยาบาลจะดำเนินการตามขั้นตอนโดยจะส่งศพน้องเอยไปให้แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้ชันสูตรพลิกศพภายในวันนี้

ทั้งนี้ น้องเอยได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากถูกลืมทิ้งไว้ในรถตู้รับส่งนักเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ นานกว่า 6 ชม.

โดยนายเอกชัยกล่าวทั้งน้ำตาว่า ทางโรงพยาบาลได้รักษาน้องเอยอย่างเต็มที่แล้ว หากน้องเอยได้ยินขอร้องให้น้องเอยกลับมาอยู่กับพ่อและแม่ และหลังจากรับศพน้องเอยจากนิติเวชจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เบื้องต้นคาดว่าจะประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดราษฎร์บำรุง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน และฝากไปยังโรงเรียนให้มองความปลอดภัยของเด็กนักเรียนให้มากขึ้น ส่วนการดำเนินคดีต่อคนขับรถตู้ และครูพี่เลี้ยงในวันเกิดเหตุ ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะดำเนินการทางกฏหมายต่อไป

สุดท้ายนี้ก็ ขอฝากข้อมูลทางการแพทย์ รพ.เด็กรามาธิบดี ไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่า เด็กที่ติดอยู่ในรถ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ แต่ความจริงแล้วอากาศภายในรถสามารถนอนได้นานเป็นชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่ที่เด็กจะเสียชีวิตเป็นเพราะความร้อนภายในที่สูงขึ้น ใช้เวลาเพียง 5 นาที อุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถอยู่ได้ ยิ่งนานเกิน 10 นาที ร่างกายจะแย่ และภายใน 30 นาทีถึงขั้นเสียชีวิต เพราะปกติร่างกายคนเรา จะรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อติดอยู่ในรถที่ความร้อนสูงขึ้น ช่วงแรกร่างกายจะขับความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ แต่เมื่อถึงจุดที่ร่างกายทนไม่ไหว ร่างกายก็จะหยุดทำงาน เกิดภาวะเลือดเป็นกรด สิ่งที่ตามมา เด็กอาจหยุดหายใจ และอวัยวะทุกอย่างหยุดทำงาน หากเจอเด็กที่ติดในรถเร็ว จะพบในสภาพตัวแดง แต่หากนานเกิน ร่างกายจะต้านทานได้ตัวเด็กจะซีดและเสียชีวิตในที่สุด...............

จึงขอห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถโดยเด็ดขาด เพราะเด็กจะเสียชีวิตเพราะความร้อนสูงนั่นเอง..................
กำลังโหลดความคิดเห็น