xs
xsm
sm
md
lg

“เสธ.ไก่” แก๊งปล้นบ้านอดีตปลัดคมนาคมเบิกความ อ้างขนเงินกว่า 200 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

(แฟ้มภาพ)นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม
“เสธ.ไก่” แก๊งปล้นบ้าน “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดคมนาคม เบิกความระบุวางแผนปล้นหลายครั้ง กระทั่่งได้ลงมือก่อเหตุ อ้างได้เงินไปร่วม 200 ล้าน ยังเหลือในบ้านอีก 700-1,000 ล้าน หลังถูกจับจึงประโคมข่าวบ้านปลัดเงินเยอะ ศาลนัดสืบพยานจำเลยอีกครั้งวันที่ 13 ก.พ.นี้


ที่ห้องพิจารณาคดี 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (12 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกคดีปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม คดีดำ อ.347/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสิงห์ทอง หรือเสธ.ไก่ ใจชมชื่น, นายเสาร์แก้ว นามวงค์, นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน, นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน, นายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี, นายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา, นายประพันธ์ เรียงเครือ, นายชยธัช หรือเอก จันนะชัย และ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะ, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพฯ, ร่วมรับของโจร และร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 340, 357, 365 และ 371 กรณีเมื่อวันที่ 12 ก.พ. - 23 พ.ย. 2554 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านของนายสุพจน์ ผู้เสียหาย ที่ซอยลาดพร้าว 62 เขตวังทองหลาง แล้วลักเงินสดจำนวน 18,121,000 บาทไป ซึ่งคดีนี้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2555

โดยวันนี้ศาลเบิกตัวนายสิงห์ทอง หรือเสธ.ไก่ จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำเพื่อเบิกความเป็นพยานจำเลยปากแรก สรุปว่า ก่อนเกิดเหตุ พ.ย. 2554 จำเลยขับรถแท็กซี่และเช่าห้องอยู่ย่านเขตวัฒนา โดยช่วงเดือน ต.ค. 2554 ได้พูดคุยโทรศัพท์กับจ่านุ ชื่อเล่นของเพื่อนที่เป็นตำรวจเก่ารู้จักกันประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งจ่านุได้นัดเจอพร้อมกับพวกที่มาจาก จ.เพชรบุรีอีก 2 คน และชวนให้ไปอุ้มคน ซึ่งจำเลยก็รับปากทำเนื่องจากขณะนั้นรายได้ไม่พอใช้จ่าย

จากนั้นจ่านุพาจำเลยกับพวกไปดูบ้านเป้าหมายภายในซอยลาดพร้าว 62 ซึ่งขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นบ้านของใคร โดยจ่านุยังเช่าอพาร์ตเมนต์ภายในซอยลาดพร้าว 64 ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเป้าหมายให้จำเลยกับพวกพักอยู่ด้วย แต่ปรากฏว่าแผนการดังกล่าวไม่สามารถลงมือได้ เนื่องจากขณะนั้นจ่านุบอกว่าไม่มีอาวุธและคนไม่พอจึงล้มเลิกไป ซึ่งระหว่างปลายเดือน ต.ค.ถึงต้นเดือน พ.ย. 2554 ได้มีการวางแผนดำเนินการที่บ้านหลังเดิมอีกหลายครั้ง แต่ปรากฏว่าต้องล้มเลิกไปเพราะไม่พร้อมทั้งเรื่องจำนวนคน และรถที่จะใช้ กระทั่งประมาณวันที่ 6-7 พ.ย. 2554 นายวีระศักดิ์ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันได้โทรศัพท์แจ้งจำเลยว่าจะดำเนินการอุ้มอีก แต่จำเลยคิดว่าทำไมอุ้มไม่ได้สักที นายวีระศักดิ์จึงบอกว่าการอุ้มไม่ใช่อุ้มคน แต่เป็นการขนถุงเงิน ซึ่งจำเลยก็รับจะทำ จึงได้มีการนัดเจอกันกับพวกอีกหลายคนที่ปั๊มน้ำมันบริเวณเลียบทางด่วนรามอินทรา เพื่อจะจัดหารถตู้ที่จะใช้ก่อเหตุ

จากนั้นประมาณวันที่ 10 พ.ย.ได้เจอกับนายณัฐพลไม่ทราบนามสกุล และพวกอีก 3-4 คน ที่ระบุว่าพร้อมจะลงมือตามแผนการ และได้เตรียมนำเครื่องมือตัดสัญญาณโทรศัพท์และวงจรปิด 3 เครื่องมาไว้สำหรับดำเนินการดังกล่าวด้วย และขณะที่ระหว่างวางแผนดังกล่าว จำเลยได้ติดต่อกับพี่ชายเพื่อหาคนมาช่วยงาน จึงได้รู้จักกับจำเลยที่ 2 (นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน) ที่รู้จักกับจำเลยที่ 3 อีกที (นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน) แล้วชวนให้มาช่วยงานกันทั้งสองก็ได้เดินทางมาจาก จ.เชียงราย เพื่อมาร่วมงานกันในวันที่ 11 พ.ย. 2554 แต่สุดท้ายแผนการนั้นยังไม่ได้ดำเนินการ

กระทั่งเช้าวันที่ 12 พ.ย. 2554 นายวีระศักดิ์ได้เจอจำเลยที่โรงแรมที่พัก บริเวณซอยปรีดีฯ 45 พร้อมแจ้งว่าให้รอฟังคำสั่งนายที่เป็นนักการเมืองระดับชาติก่อน ซึ่งสุดท้ายได้มีการเปลี่ยนแผนจากเดิมที่ให้จำเลยกับพวกอีก 3 คนเป็นคนขนเงิน ก็เปลี่ยนให้จำเลยไปเป็นทีมคอยคุ้มกัน ขณะที่จะมีทีมดูต้นทางด้วย โดยนายวีระศักดิ์ยังแจ้งกับจำเลยว่าหากถูกจับได้ให้จำเลยรับสารภาพ และประโคมข่าวให้ดังว่ามีเงินเยอะในบ้าน แล้วถ้าถูกจับจะจัดหาทนายความช่วยเหลือการประกันตัวและจะพาออกไปประเทศลาว พร้อมกับมอบถุงเงินที่บรรจุธนบัตร 1,000 บาท 2 มัด ที่นายวีระศักดิ์บอกว่าเป็นเงิน 2 ล้านให้จำเลยเป็นค่าจ้าง เมื่อจำเลยรับมาแล้วกลับไปที่ห้องพักตัวเองพบกับจำเลยที่ 2-3 ก็ไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้รู้แต่อย่างใด

กระทั่งช่วงบ่าย นายวีระศักดิ์ขับรถกระบะโตโยต้า สีบรอนซ์ทอง มารับจำเลยที่ 2-3 ออกไป โดยจำเลยที่ 2-3 กลับที่ห้องอีกครั้งเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ แต่จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกับจำเลย และจำเลยก็ไม่ได้สอบถามอะไรด้วย ส่วนเงิน 2 ล้านที่จำเลยได้มาจากนายวีระศักดิ์นั้น ได้มอบให้ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ จำเลยที่ 9 ที่เป็นแฟนของจำเลยไปเมื่อวันที่ 12 พ.ย. และอีก 300,000 บาทให้แฟนสาวของพยานอีกคนหนึ่ง ซึ่งจำเลยถูกตำรวจจับกุมช่วงเช้าวันที่ 15 หรือ 16 พ.ย. 2554 ขณะที่พักอยู่ภายในอพาร์ตเมนต์ ระหว่างถูกนำตัวไป บช.น.จำเลยถูกคลุมใบหน้า และถูกตบด้วยปืนที่บริเวณกกหูด้านซ้าย ระหว่างซักถามว่าได้ไปทำอะไรมาหรือไม่แล้ว จำเลยตอบว่าไม่ได้ทำอะไร โดยเมื่อถึง บช.น.มีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสารวัตรถามว่าโดนทำร้ายหรือไม่ แก้มซ้ายไปโดนอะไรมา แต่จำเลยตอบว่าหน้ากระแทกกับรถ ไม่ได้โดนทำร้าย และเมื่อถูกสอบสวนจำเลยก็รับว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมปล้น และได้เงินไป 200 ล้านบาท และยังเหลือภายในบ้านอีก 700-1,000 ล้านบาท ขณะที่ระหว่างถูกสอบสวนกลับไม่มีทนายความมาช่วยดูแลแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ภายหลังนายสิงห์ทอง จำเลยที่ 1 เบิกความแล้ว ศาลกำหนดสืบพยานจำเลยนัดต่อไปในวันที่ 13 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ได้สืบพยานไปทั้งสิ้น 8 นัด ร่วม 20 ปาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่และพนักงานสอบสวน ขณะที่นายสุพจน์ อดีตปลัดคมนาคม ผู้เสียหายที่ได้เป็นโจทก์ร่วม ก็ได้เบิกความเป็นพยานไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น