“บิ๊กย้อย” เรียกผู้ประกอบการก๊าซแอลพีจี 121 โรงบรรจุเข้าให้ปากคำกรณีบรรจุก๊าซผิดประเภทสวมรอยราคาก๊าซหุงต้มขายในราคาแก๊สเติมรถยนต์
วันนี้ (31 ม.ค.) เวลา 14.30 น. ที่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก 02) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ผอ.ปนม.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิ์วงศ์ ผบช.ประจำตร พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบก.จร พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน ผกก. อก.จ.อ่างทอง ช่วยราชการศูนย์สืบสวน ตร.ภ.1 พร้อมชุดปราบปรามน้ำมันเถื่อนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปนม.) ได้เดินทางมาที่บริเวณห้องประชุมชั้น 6 เพื่อดูความคืบหน้าเกี่ยวกับการเรียกผู้ประกอบการโรงบรรจุจำนวน 121 โรงงานมาให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวน
พล.ต.อ.วรพงษ์เปิดเผยว่า ทั้งนี้ได้รับการประสานงานมาจาก นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ว่าขณะนี้ได้ทำการตรวจ พบว่าก๊าซ LPG ที่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานจึงได้ประสานงานมากับทางชุดปราบปราม น้ำมันเถื่อนเพื่อทำการตรวจสอบโรงงานบรรจุก๊าซทั่วประเทศจำนวน 121 โรงงาน โดยวันนี้ได้เชิญเจ้าของโรงานบรรจุก๊าซมาให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนว่ากรณีการจำหน่ายก๊าซตรงกับที่รายงานกับกระทรวงพลังงานไว้หรือไม่ ทั้งนี้ ทุกปีรัฐต้องสูญเสียเงินที่ต้องเข้าไปอุดหนุนปีละ 5 หมื่นล้านบาท
พล.ต.อ.วรพงษ์กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่าราคาก๊าซในท้องตลาดภาคต่างๆ มีราคาต่างกัน คือ ภาคอุตสาหกรรม ประมาณ กก.ละ 31 บาท ภาคขนส่ง ประมาณ กก.ละ 21 บาท และภาคครัวเรือน หรือก๊าซหุงต้ม ประมาณ 18 บาท แต่ราคาก๊าซที่แท้จริงในท้องตลาดเฉลี่ยประมาณ 30 บาทส่วนต่างของราคานั้นรัฐนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยให้เพื่อช่วยเหลือประชาชน ดังนั้นจึงเป็นช่องโอกาสให้โรงบรรจุก๊าซสั่งน้ำก๊าซไปโดยแจ้งกับกรมธุรกิจพลังงานว่านำไปบรรจุลงถังหุงต้มเพราะราคาถูกที่สุด แต่แท้จริงแล้วไม่นำไปบรรจุลงถังแต่กลับส่งไปจำหน่ายยังสถานีบริการก๊าซสำหรับภาคขนส่ง เพราะตรวจพบว่าสั่งน้ำก๊าซไปเกินกว่าความสามารถในการบรรจุโดยคำนวณจากหัวจ่ายที่ได้รับอนุญาต ในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบผู้ประกอบการไปแล้วจำนวน 59 ราย และจะทำการสอบในวันพรุ่งนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยเบื้องต้นทางเรายังไม่ได้ต้องข้อกล่าวหากับผุ้ประกอบการที่มาพบเพียงแต่เรียกมาให้ถ้อยคำ และถ้าทางเราตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดจริงก็จะมีการแจ้งข้อหาต่อไป
เบื้องต้นตรวจสอบพบว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 121 โรงบรรจุซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน นำน้ำก๊าซที่ได้มาไปจำหน่ายหรือใช้ในการอย่างอื่นโดยไม่บรรจุลงถังหุงต้มตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื่อเพลิง พ.ศ. 2516 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานฉ้อโกงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 314 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยงานป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับเรื่องจากกระทรวงพลังงาน ให้ตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซแอลพีจีจำนวน 121 โรงบรรจุ ซึ่งรับน้ำก๊าซไปบรรจุลงถังหุงต้มเกินกว่าความสามารถในการบรรจุลงถังจึงเชื่อว่าน้ำก๊าซส่วนเกินดังกล่าวถูกนำไปขายในภาคขนส่งหรืออุตสาหกรรมทำให้รัฐต้องเสียหายจากการชดเชยราคาส่วนต่างของราคาก๊าซในท้องตลาด
