นนทบุรี - “แบงค์” ขอโทษพ่อแฟนสาวผ่านสื่อ หลังเกิดอาการหลอนถูก “ผีแอ้ม” ตามหลอก! พร้อมเผยประวัติหนีออกจากบ้านตั้งแต่ 10 ขวบที่นครปฐมแล้วเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เจอเกย์ธนาคารชุบเลี้ยงนำเงินมาทำธุรกิจจนเจอกับผู้ตายและมาเกิดเรื่อง ตร.ชี้โทษหนัก ประหารชีวิต!
เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 8 ม.ค. 56 พ.ต.ท.มานะ เทียนเมืองปัก รอง ผกก.หัวหน้างานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด ได้นำตัวนายไพโรจน์ หรือแบงค์ นันทตันติ เข้าสอบปากคำอีกครั้งหลังจากที่ทำแผนประกอบคำสารภาพไปในตอนเช้าของวันนี้ พ.ต.ท.มานะกล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และจากการตรวจค้นหลักฐานพบ มีดโกน กรรไกร และหลักฐานอื่นๆ ครบหมด นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังมีหมายจับอีกหลายคดี ส่วนใหญ่เป็นคดีทำร้ายร่างกายและคดีเกี่ยวกับรถ ส่วนในคดีนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คัดค้านการประกันตัว และได้มีการสอบพยานจนครบแล้ว วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาฝากขังไว้ที่ สภ.ปากเกร็ด ส่วนในวันที่ 9 ม.ค. 56 จะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ส่วนข้อหาที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งไว้ คือ ฆ่าผู้อื่นด้วยการกระทำทารุณ และวางเพลิงเผาทรัพย์ มีโทษประหารชีวิต
ด้านนายไพโรจน์ หรือแบงค์ ผู้ต้องหาคดีฆ่าโหดเผาสาวพริตตี้ กล่าวว่า ตนหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ขณะกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 โรงเรียนวัดพระงาม จ.นครปฐม เนื่องจากมีปัญหาครอบครัว เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารดัง หลังจากนั้นได้รู้จักเจ้าหน้าที่ธนาคารที่เป็นเกย์ ตนสามารถยืมเงินมาจากเจ้าหน้าที่ธนาคารได้กว่า 20 ล้านบาท จึงใช้เงินดังกล่าวซื้อบ้านและเริ่มทำธุรกิจ เคยมีภรรยาและมีลูกด้วยกัน 2 คนแต่เลิกรากันไป จนมาเปิดร้านอาหาร ชื่อ “เล่าปี่” อยู่ประชาชื่น ซอย 8/1 และได้รู้จักกับ น.ส.อัฉราณี รักษ์เชื้อ ผู้ตาย ซึ่งทำงานเป็นพีอาร์อยู่ร้านตรงข้าม จึงได้ดึงตัวมาทำงานด้วยและอยู่กินกันแบบสามีภรรยามาเป็นเวลาเกือบปี แต่เนื่องจากธุรกิจที่ทำมีหลายอย่างรวมทั้งธุรกิจผิดกฎหมายทำให้ต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ จนมาเกิดเหตุดังกล่าว สาเหตุเกิดจากตนและผู้ตายเมาจนมีปากเสียงกันรุนแรง โดยผู้ตายได้ด่าคำหยาบคายถึงพ่อแม่ของตน ทำให้ตนโมโหเป็นอย่างมากจนทำให้ลงมือฆ่าผู้ตาย
ส่วนปริศนาชื่อที่เขียนไว้ เป็นชื่อของบุคคลที่เคยร่วมทำธุรกิจด้วยกันและตนถูกโกงไปเลยแค้นและระบายออก อีกชื่อที่เขียนไว้ด้านหลัง คือสำเริง สุวรรณพงศ์ ตนไม่เคยพบและไม่รู้จัก แต่เป็นชื่อที่ผู้ตายมักอ้างถึงบ่อยๆ ว่าสามารถช่วยเหลือผู้ตายได้เนื่องจากทำธุรกิจผิดกฎหมาย ส่วนที่ตัดอวัยวะเพราะแค้นที่ผู้ตายด่าไม่หยุดถึงพ่อแม่ของตน ประกอบกับเมาด้วยกันทั้งคู่และคุมสติไม่อยู่
นายไพโรจน์กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดเหตุตนได้หนีไปบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายและหลบหนีออกนอกประเทศ ระหว่างที่บวชอยู่นั้นตนได้นอนในห้องพระที่วัด ช่วงที่ตนนอนใกล้จะหลับได้กลิ่นน้ำหอมของผู้ตายและเห็นเงาดำมายืนตรงปลายเท้า เหมือนผู้ตายพูดกับตนว่า “ไหนสัญญาว่าจะตายด้วยกัน” ตนกลัวมากเรียกให้คนช่วยแล้ว จู่ๆ จีวรได้ถูกกระตุก อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอโทษพ่อของน้องแอ้มด้วย เพราะพ่อของน้องแอ้มเป็นคนดีมากและฝากน้องแอ้มให้ตนดูแล แต่กลับมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตนขอยอมชดใช้กรรมถ้าตัดสินโทษประหารชีวิตก็จะขออุทธรณ์ ถ้าไม่ได้ก็จะยอมถูกประหารชีวิตเพราะตนทำชั่วมาเยอะแล้ว