อัยการส่งฟ้องแกนนำพันธมิตรฯ 2 คดี “ยึดทำเนียบ-ปิดล้อมรัฐสภา” ด้านทนายยื่นหลักทรัพย์ 7 แสน ประกันตัวสู้คดี
วันนี้ (27ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.ต. สุรพงษ์ สายวงศ์ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา10 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 77 ปี นาย สนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 64 ปี นาย พิภพ ธงไชย อายุ 66 ปี นาย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 62 ปี ซึ่งทั้งหมดเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.)เป็นจำเลยที่ 1 – 4ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์กรณีร่วมกันบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล
คดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2551 จำเลยทั้งสี่ได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินเพื่อกดดันให้นาย สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ลาออกจากตำแหน่ง โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญหลายแห่ง อาทิ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ
ต่อมานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนและกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่7 ต.ค. 51 จำเลยทั้งสี่กับพวกก็ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ทำลายเครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ จนวันที่ 3 ธ.ค.51 พวกจำเลยได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลรวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า แล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย ซึ่งผู้ชุมนุมจำนวนมากได้เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย และทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟฟ้าสนาม หน้าตึกไทยคู่ฟ้าและหน้าตึกสันติไมตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหาย รวม 5 ล้านบาท ระบบอิเลคโทรนิกส์ของกล้องวงจรปิดเสียหาย 10 ตัวมูลค่า1,766,548 บาท ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ ตามความผิดด้วย
ศาลประทับรับฟ้องเป็นคดีดำ อ.4925/2555 ไว้พิจารณาและสอบคำให้การจำเลย ปรากฏว่า ทั้งหมดแถลงให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจหลักฐาน วันที่ 29 เม.ย.56 เวลา 09.00 น. ก่อนศาลอนุญาตให้จำเลยคดีนี้มีประกันตัวไป โดยตีราคาประกันคนละ 1.5 แสนบาท
วันเดียวกันนี้ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา10 ยังได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นาย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพธม. มาลีรัตน์ แก้วก่า อายุ 59 อดีต ส.ว.สกลนครและ นายประพันธ์ คูณมี อายุ 55 ปี ทั้งสองเป็น อดีตแกนนำพธม.รุ่น2 เป็นจำเลยที่1 – 5 ฐาน ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนอันมิใช่การกระทำตามรัฐธรรมนูญเพื่อติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน หรือข่มขืนใจใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล และเป็นหัวหน้ามั่วสุมกันตั้งแต่10 คนขึ้นไปโดยมีอาวุธร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่5คนขึ้นไปร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค.51 เวลากลางวันถึงวันที่7 ต.ค.51 เวลากลางคืนหลังเที่ยงคืน จำเลยทั้ง5กับกลุ่มพันธมิตรฯหลายพันคนได้รวมกลุ่มมั่วสุมบริเวณเวทีปราศรัยภายในทำเนียบรัฐบาลที่พวกจำเลยได้บุกเข้าไปโดยมั่วสุม 10 คนขึ้นไปเพื่อให้เกิดวุ่นวายในบ้านเมืองโดยได้ปราศรัยยุยงปลุกปั่น ให้กลุ่มพันธมิตรทั้งประเทศไปรวมตัวปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้ ส.ส.และ ส.ว.และ คณะรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมสภา ซึ่งหากไม่สามารถเปิดประชุมนายกรัฐมนตรีก็ไม่อาจแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้
ต่อมาวันที่ 7 ต.ค.51 กลางวันจำเลยทั้งห้า กับพวกใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อนพร้อมนำลวดหนามชนิดหีบเพลง และแผงกั้นเหล็กยางรถยนต์ผ่านไปลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อขวางบริเวณรอบรัฐสภาทำให้ประชาชนไม่สามารถผ่านไปได้และปราศรัยปลุกระดมให้ล้อมรัฐสภา เป็นเหตุเหตุให้ ส.ส.และส.ว.บางส่วนเดินทางเข้าไปประชุมสภาไม่ได้ จำเลยทั้งห้า กับพวกยังได้ร่วมกันข่มขืนใจนาย สุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล และนาย มณฑล ไกรวัตนุสรณ์ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย และนาย ปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทยและข้าราชการฝ่ายการเมืองหลายคนโดยไล่ให้กลับบ้านและขู่ให้กลัวว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และยังมีการโห่ร้อง ด่าทอ ใช้หนังสะติ๊ก อาวุธปืนยิง มีดฟันใช้ปลายธงทำด้วยเหล็กปลายแหลมแทงเจ้าหน้าที่รับบาดเจ็บสาหัส 1คน แถมยังมีการนำโซ่ไปคล้องล็อคกุญแจทางเข้าออกสภาทุกด้านและประกาศขู่ว่าหากไม่ยุบสภาในเวลา18.00น.กล่มผู้ชุมนุมจะจับตัว ประธานสภา และประธานวุฒิสภารวมทั้งสมาชิกทั้งหมด ซึ่งมีสมาชิกรัฐสภาบางส่วนได้ปีนกำแพงหนีออกทางด้านพระที่นั่งวิมานเมฆรวมถึงเจ้าหน้าที่หลายคนที่ถุกขังอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง ทั้งนี้ได้มีกองกำลังตำรวจที่ได้เข้าไปปฎิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ ส.ส.และ ส.ว.แต่กลับถูกผู้ชุมนุมปาด้วยก้อนหินและไม้
นอกจากนี้จำเลย กับพวกยังได้ปราศรัย ยุยงให้กลุ่มพันธมิตรฯจำนวนหลายพันคนโดยมีอาวุธ มีด ปืน ไม้กระบอง ธง หนังสติ๊กฯลฯเคลื่อนไปหน้าอาคารรัฐสภาและปิดล้อมทางเข้าออก และได้นำน้ำมันราดบนถนนหน้ารัฐสภาและขู่ว่าจะใช้กำลังประทุบร้าย ส.ส.และ ส.ว.และ ใช้รถกระบะหมายเลขทะเบียน วพ1968 กรุงเทพฯขับขี่โดย นาย ปรีชา ตรีจรูญ ขับรถ พุ่งไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งพนักงานอัยการได้แยกฟ้องจำเลยต่อศาลอาญา
ศาลรับฟ้องไว้เป็นคดีดำ อ.4924/55 และสอบคำให้การ ซึ่งพวกจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลจึงนัดตรวจหลักฐานในวันที่ 29 ธ.ค. นี้ เวลา13.30 น. และอนุญาตให้ประกันตัวไปโดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท
ด้านนายประยุทธ ป.สัตยารักษ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 ได้เปิดเผยว่า อัยการได้ยื่นฟ้อง นาย ปรีชา ตรีจรูญ แนวร่วม พธม. เป็นจำเลย ฐาน พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน กรณีที่จำเลยได้ขับรถกระบะ ไล่พุ่งชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมพื้นที่บริเวณสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ว่า เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 55 ศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ให้จำคุกตลอดชีวิต และให้จำคุก 1 ปี ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปกระทำการให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ ขณะที่ศาลเห็นว่าทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกทั้งสิ้น 34 ปี ซึ่งคดีนี้ศาลอาญา เคยพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ซึ่งศาลอาญาเห็นว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเหตุบันดาลโทสะ และไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่ง และจากเหตุที่เกิดขึ้นจำเลยเองได้รับอันตรายสาหัสตาบอด เห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
”คดีนี้เป็นอุทาหรณ์ แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ในการกระทำและโทษที่ได้รับ และขอวิงวอนว่า ในอนาคตหากจะมีการชุมนุมทางการเมือง หรือชุมนุมเรียกร้องใดๆก็ตาม ผู้ชุมนุมพึงปฏิบัติตามกฎหมาย คือ ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ กรุณาอย่าใช้ความรุนแรง อย่าขว้างปาหรือทุบตีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ เพราะหากถูกดำเนินคดีดังตัวอย่างข้างต้น ตัวเองและครอบครัวจะเดือดร้อนแสนสาหัส ผู้รักษากฎหมายไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากทำตามหน้าที่ และเศร้าใจที่จะต้องดำเนินคดีกับประชาชน บางครั้งบางคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์” นายประยุทธ์ กล่าวตอนท้าย
ด้าน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่าจะยื่นประกันตัวลูกความทั้งหมดที่มาในวันนี้ เป็นหลักทรัพย์ในคดีบุกรุกทำเนียบ 90,000 บาท และคดีอื่นๆ 100,000 บาท ตอนนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอประกันตัวต่อศาล
ต่อมาเวลา 16.00 น. ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พร้อมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง 2 คดีด้วยหลักทรัพย์ 700,000 บาทก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางกลับทันที