>>> ตรงเป้า
ศรรามา
กู่ไม่กลับแล้ว “คำรณวิทย์” เอ๋ย
ขณะที่ผู้คนยังกังขาคาใจ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง บินไปดูไบให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ประดับยศพลตำรวจโท หรือว่าทักษิณดอดเข้าเมืองไทยทำพิธีเสกเป่าให้เพราะวันเดือนปีที่ระบุในภาพถ่ายนั้นเป็นวันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “คำรณวิทย์” เป็นผู้บัญชาการนครบาล
สังคมอยากรู้ในประเด็นนี้ แต่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ก็ร่อนไปดูงานหลายประเทศในยุโรป ไม่รู้ว่าจะได้ความรู้อะไรติดตัวมาเพราะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์บอกว่าตนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แล้วมันจะได้เรื่องอะไรต้องหนีบเจ้าหน้าที่ไปเป็นล่ามให้อีก
ไอ้เรื่องให้นักโทษหนีคุกติดยศให้จะเป็นสิริมงคลปานไหน ผู้คนไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียงกับท่าน ในเมื่อ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ยืนยันว่าเป็นเรื่อง “ถูกต้อง” ในความคิดของตัวเอง แต่ไม่สนใจกับคำว่า “ชอบธรรม” ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นตำรวจแต่งเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แล้วไปให้นักโทษหนีคุกติดยศ แถมยังอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
ก็แล้วใยไม่เอารูปนั้นไปติดที่บ้าน จะขยายใหญ่เท่าฝาบ้านก็ไม่มีใครว่า แต่นี่ห้องทำงานของท่านที่เป็นห้องส่วนตัว ในความเป็นจริงมันเป็นสถานที่ราชการ
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ก็ทราบดี ขณะนี้ผู้คนในสังคมแบ่งแยกผิวพรรณคนละสีสันก็แล้ว
ทักษิณนั่นมิใช่หัวโจกคนเสื้อแดงหรอกหรือเมื่อประกาศตัวเองว่ายืนอยู่ฟากฝั่งสีแดง หากประชาชนคนละสีกับท่านเกิดมีเรื่องกับคนเสื้อแดงแล้วจะได้รับการดำเนินคดีอย่างเป็นธรรมและเสมอภาพหรือ
เมื่อกลับจากนอก ผู้คนก็อยากรู้จากปาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เรื่องไปดูไบจริงหรือไม่ หรือว่าทักษิณดอดเข้าไทยตามที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แต่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง กลับไปเปิดศึกกับพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นสร้างรอยด่างให้ตัวเองโดยใช่เหตุ เพราะระหว่างที่อยู่เมืองนอกลูกน้องก็รายงานว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปยื่นเรื่องต่อ ผบ.ตร.ให้ทำการสอบสวนพฤติกรรมของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เรื่องการให้ทักษิณติดยศ
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ออกข่าวจะไปยื่นหนังสือชี้แจงต่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกวันเวลาเสร็จสรรพ แล้วตบท้ายด้วยคำพูด “ตำรวจคนไหนจะไปกับผมก็ไป”
มันจึงมีภาพตำรวจในเครื่องแบบติดดาวแปดแฉกหนึ่งดวงและดาบไขว้อยู่บนบ่าอะร้าอร่ามหลายร้อยคนตบเท้าไปรอเจ้านายที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ถูกประชาชนหลายร้อยคนเช่นกันต่อต้านและตะโกนด่าทอ
ก็จริงอย่างนั้น “ตำรวจก่อม็อบผลาญภาษีประชาชน” เอาเวลาราชการไปชุมนุมในลักษณะแสดงพลังข่มขู่ประชาชน ทั้งๆ ตัวเองมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยแก่สังคม
สุดท้าย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ก็ไม่ไปตามนัด อ้างไม่ต้องการเผชิญหน้ากับประชาชนกลุ่มนั้นให้ พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทวรลักษณ์ ผู้การ191 เอาหนังสือไปยื่นต่อนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล
เนื้อหาในหนังสือฉบับนั้นที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ต้องการชี้แจงให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจนั้นก็เป็นถ้อยความที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เคยกล่าวต่อสาธารณชนไปแล้วเรื่องการกตัญญูรู้คุณ เรื่องตัวเองทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขผดุงความยุติธรรมแก่สังคม ตัวเองรู้จักแยะแยะความผิดถูกและมีความกรุณาปรานีต่อประชาชน
แต่ท่อนท้ายของหนังสือนั้นชัดเจน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ระบุถึงกรณีที่ประชาธิปัตย์ไปยื่นเรื่องให้ ผบ.ตร.สอบสวนพฤติกรรมของตนนั้นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีวิสัยทัศน์ที่คับแคบไร้เหตุผล ปราศจากความเป็นธรรม
อันที่จริงการจะไปยื่นหนังสือทำความเข้าใจต่อพรรคประชาธิปัตย์ พล.ต.ท.คำรณวิทย์สามารถทำได้ไม่มีอะไรน่าเกลียดน่าชัง ก็แล้วทำไมไม่ไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องตีฆ้องร้องป่าว ไม่ต้องเชิญชวนลูกน้องไปแสดงพลัง
ก็นี่แหละ เพราะความหุนหันพลันแล่น เอาความคิดของตนเป็นใหญ่ ประเภท “อีโก้” ถือว่าตัวเองทำอะไรถูกต้องและถูกหมดทุกอย่าง ภาพม็อบตำรวจหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในวันนั้น จึงเสมือนรอยดำด่างที่ไปแต่งแต้มสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ท.คำรณวิทย์บอกว่าจะไม่พูดเรื่องภาพประดับยศอีกแล้วแต่เรื่องนี้ยังไม่จบสิ้นยังไม่สะเด็ดน้ำเพราะนายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำกลุ่มกรีนไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.และผู้ตรวจการแผ่นดินให้สอบสวนพฤติกรรมของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ก่อนหน้านี้ไว้
คณะกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎรก็จะพิจารณาเรื่องนี้เช่นกันในสัปดาห์หน้า ตามที่กรรมาธิการเสนอให้พิจารณาด้านวินัยและจริยธรรมของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ รวมทั้งตำรวจชั้นประทวนและสัญญาบัตรที่ไปชุมนุมหน้าพรรคประชาธิปัตย์
เห็นกันชัดเจนแล้วใช่ไหมกับข้อความในป้ายที่ประชาชนชูให้ตำรวจดู
ที่นี่ไม่มีอะไรที่ “พี่ให้” มีแต่ความจริงใจจะบอกว่าเป็นตำรวจรับกระบี่ “พระราชา” ต้องเป็น “ข้าแผ่นดิน” จนสิ้นใจ.