ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่าประเทศไทยจะมีคนในรัฐบาลที่หากเรียกกันแบบบ้านๆ ว่า “หน้าด้าน”ได้ถึงขนาดนี้ กล้าดันทุรังเพื่อทำผิดกฎหมายซ้ำๆ โดยไม่เกรงกลัวผลที่จะตามมาภายหลัง ทางหนึ่งก็ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีความมั่นใจสูงยิ่ง “ต้องรอด” แน่นอน หรือไม่ก็อีกทางหนึ่งต้องเล็งเห็นแล้วว่าการกระทำดังกล่าวนั้นมัน “สุดคุ้ม” ทำให้ต้องเดินหน้าเสี่ยงกันต่อไป
เพราะถ้าพิจารณากันถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศในยุคของ “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” เป็นรัฐมนตรีว่าการจะกล้ากระทำการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ฝ่าฝืนคำสั่งศาลได้อย่างซึ่งหน้าถึงเพียงนี้ ขณะเดียวกัน ท่าทีของผู้นำรัฐบาลในฐานะนายกรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับเฉยเมยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สอดคล้องกับคำพูดบิดเบือนของรัฐมนตรีบางคนก่อนหน้านี้ว่า “รัฐบาลไม่มีนโยบายในการไล่ล่า ทักษิณ ชินวัตร” โดยอ้างว่าทักษิณถูกกระทำจากการรัฐประหารโดยไม่เป็นธรรม ยืนยันแบบกระต่ายขาเดียวแบบศรีธนญชัยดังกล่าวมาตลอด
ทั้งที่กรณีของทักษิณไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับนโยบาย แต่เป็นเรื่องของกฎหมายว่าทำผิดหรือไม่เท่านั้น ตราบใดที่เรายังมีระบบศาลยุติธรรมอย่างในปัจจุบัน เมื่อศาลตัดสินออกมาว่าผิด ถูกสั่งจำคุก ถูกออกหมายจับในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องก็ต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ต้องมาบิดเบือนว่าคนอย่างทักษิณได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง 15 ล้านเสียง และจากการหาเสียงพาเขา กลับบ้าน หรือไปกล่าวโทษการรัฐประหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย คำพูดดังกล่าวอาจพูดได้ แต่รับรองว่าไม่ถูกต้อง เพราะระบบศาลยุติธรรมในปัจจุบันยังทำหน้าที่โดยอิสระตามระบบแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตามหากถูกศาลตัดสินว่ากระทำผิด ก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าจะไม่พอใจหรือไม่ถูกใจก็ตาม เพราะไม่เช่นนั้นจะสร้างปัญหา เกิดความแตกแยกไม่สิ้นสุด
กรณีของทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ได้แตกต่างอาชญากรที่หลบหนีคุกทั่วไป เพียงแต่ว่านักโทษคนนี้เป็นเศรษฐี มีเครือข่ายกว้างขวาง มีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามหลักการพื้นฐานก็ต้องถูกตามไล่ล่าจับกุมมาดำเนินคดี ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐไปอำนวยความสะดวก หรือเกิดกรณีอัปยศที่มีผู้บัญชาการตำรวจนครบาลไปให้นักโทษประดับยศให้หน้าตาเฉย และยังพูดว่า “ยึดเป็นแบบอย่าง” เสียอีก
สำหรับเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศได้คืนหนังสือเดินทางให้กับทักษิณ แน่นอนว่าหากพิจารณาจากหลักการทั่วไป ง่ายๆ ไม่ต้องใช้เหตุผลซับซ้อนก็ย่อมเห็นตรงกันว่าไม่อาจทำได้ และที่ผ่านมาบุคคลทั่วไปหากมีความผิด มีหมายจับติดตัวตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่อาจออกหนังสือเดินทางให้ได้
กรณีของ ทักษิณ ชินวัตร ก็เช่นเดียวกันถือว่าชัดเจนอยู่ในตัว ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย เพราะถ้าอนุญาตให้เขามีหนังสือเดินทางได้ นักโทษรายอื่นก็ย่อมทำได้ เพราะมีสถานะไม่ได้ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินออกมาแจกแจงเหตุผลการออกหนังสือเดินทางดังกล่าวเป็นการกระทำการที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
ดังนั้นในกรณีที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าความผิดของ ทักษิณ เป็นคำพิพากษาของศาล ย่อมต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ ต้องได้รับการเคารพและปฏิบัติตาม ไม่เช่นนั้นจะกระทบเทือนไปหมด กลายเป็นว่าทักษิณอยู่เหนือกฎหมายอยู่คนเดียว กลายเป็น “อภิสิทธิชน” อย่างที่เคยกล่าวหาคนอื่น และที่สำคัญความถูกผิดไม่อาจลบล้างด้วยผลของการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมีกี่ล้านเสียงก็ตาม เพราะความผิดดังกล่าวเป็นผลมาจากการกระทำส่วนตัว มีการต่อสู้หักล้างกันกันตามกระบวนการอย่างถึงที่สุดแล้ว
การกระทำของกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อยู่เบื้องหลังต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง คงความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจตุลาการอยู่ต่อไป ไม่ยอมให้ใครอยู่เหนือกฎหมายทำตัวเป็นเทวดาอย่างทุกวันนี้
ขณะเดียวกัน เมื่อมีความเห็นออกมาจากผู้ตรวจการแผ่นดินออกมาว่าการออกหนังสือเดินทางให้ ทักษิณ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน แน่นอนว่าย่อมทำให้เกิดการนำไปต่อยอดนำเรื่องไปยื่นถอดถอนเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ข้าราชการประจำไม่ว่าจะเป็นระดับปลัดกระทรวง อธิบดีกรมการกงสุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปจนถึง นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะผู้นำหากยังเพิกเฉย
เพราะการมอบหนังสือเดินทางดังกล่าว ไม่ต่างจากการมอบหนังสือเดินทางให้กับโจรดีๆนี่เอง และที่ไม่ธรรมดากว่านั้นก็คือเป็น “มหาโจร” เพราะมีคดีติดตัวมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่มีข้อฉกรรจ์ ทั้งก่อการร้าย ทุจริต ถูกศาลสั่งยึดทรัพย์ หากเขาได้รับนักโทษรายอื่นก็ต้องได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกัน ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายถึงหายนะ ทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างย่อยยับโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องรักษาหลักการของบ้านเมือง มากกว่ารักษาโจร คือ ทักษิณ!!