“รองนายกฯ เฉลิม” มอบนโยบายปราบปรามอาวุธปืนผู้กำกับการทั่วประเทศ ยาหอมไม่มีการคาดโทษ เชื่อมีฝีมือ เน้นการป้องกันโดยให้ตำรวจชุมชนเป็นแนวร่วม ไม่เห็นด้วยโครงการปืนสวัสดิการที่ขายปืนให้ประชาชนมาจำหน่าย
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วย รอง ผบ.ตร. และผช.ผบ.ตร. มอบนโยบายด้านการปราบปรามอาชญากรรมให้แก่นายตำรวจระดับ ผบช.1-9, ศชต., ผบช.ก., บช.น., ผบก. และหัวหน้าสถานีทั่วประเทศ
โดย ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวก่อนการมอบนโยบายว่า ขณะนี้มีเหตุคดีประทุษร้ายร่างกายด้วยอาวุธปืนมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลชุดก่อนๆ มีการอนุญาตให้นำเข้าอาวุธปืนมามากเกินกว่าความจำเป็น ในสมัยหนึ่งมีการอนุญาตเปิดร้านอาวุธปืนเพิ่ม 93 แห่ง ให้โควตามีอาวุธปืนสั้น-ยาวจำนวนมาก วันนี้จึงต้องมาให้นโยบายตำรวจทั่วประเทศให้เข้าใจ มีแนวทางตรงกันเพื่อให้เข้าในสถานการณ์ตรงกัน
“ในยุคของผมการสั่งให้นโยบายจะไม่มีการคาดโทษ เพราะตำรวจของผมขยัน สารวัตรอย่างผมอย่างขยัน คนอื่นจะไม่ขยันได้อย่างไร วันนี้ต้องมาบูรณาการกัน แนวคิดผมเน้นการป้องกัน ตำรวจชุมชน ประชาสัมพันธ์หาแนวร่วม ที่สำคัญจากนี้ตำรวจทั่วประเทศต้องไปตรวจสอบอาวุธปืน ขอข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยว่าปืนที่ได้รับอนุญาตมีเท่าไหร่ ใครบ้างแจ้งปืนหาย ส่วนเรื่องการควบคุมตรวจสอบร้านปืนเป็นหน้าที่กระทรวงมหาดไทย แต่ไม่เป็นไร นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคผม ผมจะไปหารือเอง ที่ผ่านมาผมไม่เห็นด้วยเรื่องการให้สิทธิปืนสวัสดิการกับประชาชน กับคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายผมดูแลเรื่องการดูแลการท่องเที่ยว การทุจริตจำนำข้าว และการทุจริตงบฯ น้ำท่วม ทุจริตงบฯ ท้องถิ่น ผมก็จะสั่งการให้ตำรวจมาช่วยทำเรื่องเหล่านี้ด้วย” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ด้าน พล.ต.อ.ภานุพงศ์ กล่าวถึงการเตรียมคนเข้าสู่ระบบการสืบสวนสอบสวนว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดึงประชาชนมีส่วนร่วม สู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกรูปแบบ ทุกวันนี้จับคนนร้ายจากในอากาศ คือ 9 ใน 10 จับจากกล้องวงจรปิด จากการสื่อสาร ถ้าตำรวจเอาจริงไม่มีคดีไหนหนีพ้นตำรวจไทย
“ค่านิยมทุกวันนี้ตำรวจไทยสับสน มีนายตำรวจระดับรอง ผบก.พูดว่าค่านิยมปัดความรับผิดชอบ ไม่โทษตัวเอง โทษข้างๆ คูๆ อย่าอยู่ในวิสัยตำรวจไทย ทุกคนจบสถาบันตำรวจมาทุกหลักสูตร พอทำงาน 5 ปีเริ่มเปลี่ยน เห็นระบบการแต่งตั้งโยกย้าย เห็นทางซิกแซกวิ่งเต้น ทำให้พฤติกรรมตำรวจไทยเริ่มเบี่ยงเบน บางคนท้อถอย มันทำให้คนที่โตมาระดับ ตร.ไม่ได้คนทำงาน คนทำงานจริงเพื่อประชาชนเดินมาไม่ถึง เมื่อก่อนเห็นการเติบโตตำรวจเป็นระบบ แต่ระยะหลังระบบการเติบโตเปลี่ยนแปลงไป อยากบอกว่าการเตรียมคนสำคัญที่สุด ทุกวันนี้ที่ภาพลักษณ์ตำรวจยังดีอยู่คือด้านการปราบปราม ต้องดูแลตำรวจ สายตรวจเป็นโจรเองหรือไม่ งานจราจรบางครั้งตรวจฉี่ ทุกอย่างตีเป็นเงิน การพูดจาประชาชนเต๊ะท่า เอือมระอา ญาติขึ้นโรงพักต้องฝากหมด ไม่ฝากไม่ได้”
“เมื่อ 20 ปีก่อน งานชุมชน งานมวลชน เริ่มมีความสำคัญกับ ตร. แต่เดี๋ยวนี้ตำรวจไทยไฮเทค ผมไปโรงพัก พื้นที่ไหนก็เห็นขึ้นป้ายติดรูป ผกก.ยิ้ม ทำเป็นแฟชั่นกัน แต่โอกาสเข้าไปเยี่ยมเยืยนสัมผัสประชาชนทำหรือไม่ ขอให้น้องๆ ลองไปคิดดู คือต้องทำทั้งสองอย่าง ต้องเข้าถึงประชาชนให้ได้” รอง ผบ.ตร.กล่าว
รอง ผบ.ตร.กล่าวในตอนทิ้งท้ายว่า ตำรวจเราไม่ต้องมีเงินทุน เพราะเราไม่ใช่บริษัท จึงไม่ต้องไปมองเรื่องกำไร-ขาดทุน ถ้าไปมองอย่างนั้นเราเสียหาย แต่เรามีต้นทุนทางสัมคม สิ่งที่ต้องทำคือ ทำอย่างไรให้ต้นทุนทางสังคมที่มีน้อยนิดให้เพิ่ม ขณะนี้สังคมมองเราอยู่ ถ้าเป็นตำรวจด้วยกันจะรู้ว่าต้นทุนสังคมตำรวจต่ำมาก แล้วเราจะทำอย่างไรให้เพิ่ม ต้องใช้เวลา การเป็นผู้บังคับบัญชาก็เช่นดียวกัน ต้องใกล้ชิดลูกน้อง ดูแลสารทุกข์สุกดิบ บางคนโตขึ้นมาก็คิดวางแผนไปทำสิ่งที่ไม่ดี บางครั้งไม่น่าเชื่อว่าจะทำอย่างนี้ อยากฝากน้องๆ เพราะยังมีชีวิตราชการอีกยาวนาน