เอเอฟพี - ออกซ์แฟมเผยรายงานระบุ ประเทศที่อยู่ภายใต้คำสั่งห้ามซื้อขายสรรพาวุธ กลับนำเข้าอาวุธมูลค่ามากกว่า 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โดยองค์กรให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยชนแห่งนี้จึงเรียกร้องให้มีการออกมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นด้วย
ออกซ์แฟมรายงานว่า หลายประเทศซื้อขายอาวุธในระดับมหาศาล แม้ว่าจะถูกห้ามจากตลาดอาวุธ โดยพม่าซื้ออาวุธไปเป็นมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2000-2010 ส่วนอิหร่านก็ซื้ออาวุธประมาณ 574 ล้าน ช่วงปี 2007-2010 และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกนำเข้าอาวุธถึง 124 ล้าน ตั้งแต่ปี 2000-2002
รายงานของออกซ์แฟมฉบับนี้ระบุว่า ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีประกาศห้ามซื้อขายอาวุธ ที่ออกมาในระดับภูมิภาค หรือพหุภาคี และจากสหประชาชาติ ถึง 26 ฉบับ และในเดือนกรกฎาคมนี้ ยูเอ็นก็จะจัดการเจรจาหารือเกี่ยวกับสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธฉบับใหม่
องค์กรความช่วยเหลือแห่งนี้ชี้ว่า การค้าอย่างผิดกฎหมายดังกล่าวยิ่งกระตุ้นให้ต้องมีการใช้กฎหมายด้านการซื้อขายและขนส่งอาวุธ ที่เอาจริงเอาจังมากขึ้น
รายงานของออกซ์แฟมชื่อ “The Devil Is In The Detail“ ระบุว่า การค้าขายสินค้าบริโภค อย่าง กล้วย กาแฟ และโกโก้ ในระดับโลก ยังถูกควบคุมเข้มงวดกว่าการค้าอาวุธเสียอีก
“ความท้าทายอยู่ที่การทำให้มั่นใจว่าสนธิสัญญาฉบับใหม่นี้จะแข็งแกร่งจริงๆ โดยต้องหยุดยั้งการโอนถ่ายอาวุธที่จะเพิ่มเชื้อความขัดแย้ง ความอดอยาก หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อย่างชัดเจน” แอนนา แมคโดนัลด์ นักรณรงค์ด้านการควบคุมอาวุธของออกซ์แฟมกล่าว
“ข้อห้ามค้าอาวุธที่มีอยู่ง่ายเกินไปที่จะหยุดพัก หรือมองข้ามได้ การขาดระเบียบควบคุมสากลแสดงว่า ประเทศต่างๆ ที่ถูกห้ามการซื้อขายอาวุธก็จะนำเข้าอาวุธใดก็ตาม ที่พวกเขาได้รับการยกเว้นได้”
ออกซ์แฟมยังเผยว่า มีการปะติดปะต่อที่ซับซ้อนของข้อตกลงระดับภูมิภาค และอนุภูมิภาค แต่ยังขาดโครงสร้าง และความเชื่อมโยง ซึ่งจะทำให้ประเทศต่างๆ ยังคงนำเข้าและค้าอาวุธต่อไปได้ แม้จะมีข้อห้ามจาก
ยูเอ็น หรือองค์กรอื่นๆ