พ่อค้าเสื้อผ้าตลาดนัดเสียท่า 18 มงกุฎ ถูกคนร้ายอ้างเป็นตำรวจกองปราบฯ อ้างวิ่งเต้นช่วยประกันตัวลูกชายโดยเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่า ก่อนเบิกเงินสด 1.2 แสน ซ้อน จยย.คนร้ายเข้ากองปราบ สุดท้ายถูกปล่อยทิ้งให้รอเกือบชั่วโมง จึงรู้ว่าถูกหลอก เบื้องต้น ตร.รับแจ้งความและเร่งเช็กวงจรปิดล่าตัวคนร้ายรายนี้แล้ว
วันนี้ (7 มิ.ย.) ที่กองปราบปราม นายวุฒิชัย ทองแป้น อายุ 62 ปี พ่อค้าเสื้อผ้าตามตลาดนัด อยู่บ้านเลขที่ 189/158 หมู่บ้านหงษ์พยูน หมู่ 1 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เข้าพบ พ.ต.ท.สุรชัย โลหะนาคบุตร พนักงานสอบสวน (สบ 3) กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อคนร้ายที่อ้างตัวเป็นตำรวจกองปราบปรามยศ จ.ส.ต. ว่าสามารถช่วยเหลือเรื่องการประกันตัวบุตรชายได้ โดยทำทีพาเข้ามาในกองปราบปรามก่อนฉวยโอกาสขโมยเงินสด 1.2 แสนบาทหลบหนีไป
นายวุฒิชัยกล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายอาทิตย์ ทองแป้น อายุ 30 ปี บุตรชายถูกตำรวจ สภ.บางบัวทอง ดำเนินคดีข้อหาครอบครองยาบ้า 23 เม็ด ยาไอซ์ 2 กรัม ขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำจังหวัดนนทบุรีมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว โดยศาลจังหวัดนนทบุรีแจ้งว่าหากต้องการประกันตัวบุตรชายต้องใช้หลักทรัพย์มูลค่าถึง 8 แสนบาทแต่ตนไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น กระทั่งเมื่อเช้าวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมาขณะที่ตนและภรรยาเฝ้าร้านขายของชำอยู่หน้าบ้านก็มีชายคนหนึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์มาจอดซื้อกาแฟ ระหว่างนั้นชายคนดังกล่าวรับโทรศัพท์มือถือและพูดคุยกับปลายสายเสียงเป็นผู้ชาย โดยเปิดเสียงออกลำโพงให้ตนและภรรยาได้ยิน ซึ่งปลายสายได้บอกให้ชายคนดังกล่าวรีบมาช่วยประกันตัวผู้ต้องหาคดีเสพยาเสพติด เมื่อตนได้ยินดังนั้นก็เกิดความสนใจและเข้าไปสอบถามชายคนดังกล่าวทันทีเพราะอยากจะขอความช่วยเหลือในเรื่องประกันตัว
นายวุฒิชัยกล่าวต่อว่า จากนั้นชายคนดังกล่าวอ้างตัวว่าชื่อ จ่าดำ เป็นตำรวจอยู่กองปราบปราม และอ้างว่ารู้จักกับนายตำรวจระดับสารวัตรคนหนึ่งที่อยู่กองบังคับการปราบปรามซึ่งสามารถช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้โดยเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าของนายประกันที่ศาล จากการสอบถามรายละเอียดแล้วชายคนนี้ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาต่อสายหาชายอีกคนที่เขาอ้างว่าเป็นสารวัตร โดยปลายสายรับปากว่าช่วยเหลือเรื่องประกันตัวบุตรชายได้แน่นอน โดยใช้เงินแค่ 9 หมื่นบาท เมื่อตกลงกันแล้วภรรยาตนก็ออกจากบ้านไปเบิกเงินที่ธนาคาร ส่วนชายคนดังกล่าวบอกว่าจะขี่จักรยานยนต์ไปทำธุระส่วนตัวสักพักจะกลับมารับไปหาสารวัตรและไปศาลเพื่อทำเรื่องขอประกันตัวพร้อมกัน ส่วนตนก็กลับเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
นายวุฒิชัยกล่าวอีกว่า เมื่อชายคนดังกล่าวมาถึงก็พบกับภรรยาซึ่งเตรียมเงินสดไว้ให้ 1.2 แสนบาทพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ทันที่ตนจะออกมาชายคนดังกล่าวก็บอกให้รีบไปศาลกลัวจะไม่ทัน จากนั้นก็นำเงินและเอกสารทั้งหมดใส่ไว้ที่ช่องเก็บข้างจักรยานยนต์และขับรถจักรยานยนต์เข้ามารับตนถึงที่บ้านซึ่งห่างจากร้านของชำไม่ถึงร้อยเมตร โดยตนนั่งซ้อนท้ายเพื่อเดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม เพราะจ่าดำอ้างว่าจะพาไปหาสารวัตรก่อนจะไปศาล ระหว่างขี่จักรยานยนต์ผ่านแถวพงษ์เพชรก็มีตำรวจท้องที่ตั้งด่านกวดขันวินัยจราจร ซึ่งตนไม่ได้สวมหมวกนิรภัยแต่ชายคนนี้ขับรถผ่านด่านตรวจก็ทำท่าวันทยาหัตถ์ ตำรวจที่ด่านก็ทำความเคารพรับและปล่อยให้ผ่านไป
นายวุฒิชัยกล่าวด้วยว่า เมื่อมาถึงในบริเวณกองบังคับการปราบปรามช่วงใกล้เที่ยง ชายคนดังกล่าวก็ให้ตนลงจากรถไปยืนรอที่หน้าอาคารห้องอาหาร อ้างว่าจะไปตามสารวัตรลงมาคุยกันแล้วเขาก็ขี่รถออกไป โดยตนรออยู่เกือบชั่วโมงก็ยังไม่กลับมาจึงโทรศัพท์ไปหา แต่ชายคนดังกล่าวไม่รับสาย ตนโทร.อยู่หลายครั้งจนติดต่อไม่ได้จึงรู้ตัวว่าถูกหลอกมาปล่อยทิ้งไว้แล้วเอาเงินหลบหนีไป
“หลังเกิดเหตุผมไปแจ้งความที่ สภ.บางบัวทองแล้ว แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ หนำซ้ำยังหัวเราะเยาะ และบอกให้มาแจ้งความที่กองบังคับการปราบปราม แต่เมื่อมาถึงตอนแรกก็จะให้กลับไปแจ้งความที่ สภ.บางบัวทองอีก ผมจึงชี้แจงไปว่าไปแจ้งที่นั่นมา 2 ครั้งแล้วเขาไม่รับแจ้งที่นี่จึงยอมรับเรื่องให้” นายวุฒิชัยกล่าว
เบื้องต้น พ.ต.ท.สุรชัย รับแจ้งความและสอบปากคำผู้เสียหายไว้เพื่อประสานฝ่ายสืบสวนและตำรวจท้องที่สืบหาเบาะแสคนร้ายเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายขอตรวจสอบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดภายในหน่วยงานนั้น เบื้องต้นพบว่าคนร้ายน่าจะขับขี่จักรยานยนต์ผ่านหน้าอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) ซึ่งเป็นอาคารที่อยู่ด้านหน้า แต่ไม่ได้ขับเข้ามาถึงบริเวณด้านในซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบังคับการปราบปราม แต่ก็จะได้ประสานขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้เคียงอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระบบการรักษาความปลอดภัยทั้งบุคคลและยานพาหนะเข้า-ออกของกองบังคับการปราบปรามนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ายังหละหลวม โดยเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 54 นายศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ที่ 9 ต.โพนเมือง อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ดได้ร่วมกับพวก รวม 3 คน ได้ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ป.ป.ส.นำตัวนายบุญส่ง อาภรณ์ อายุ 25 ปี ผู้เสียหายโดยอ้างว่ามีหมายจับยาเสพติดก่อนบังคับผู้เสียหายขึ้นรถยนต์เก๋งเข้ามาที่บริเวณลานจอดรถของกองปราบปราม ก่อนลงมือทำร้ายผู้เสียหายบังคับเอาทรัพย์สิน จำนวน 276,800 บาทไป และยังข่มขู่ให้ผู้เสียหายโอนเงินให้อีกมิฉะนั้นจะมาอุ้มอีก จากนั้นได้พาผู้เสียหายไปปล่อยไว้ที่บริเวณริมถนนตรงข้ามเซ็นทรัล ลาดพร้าว และพากันหลบหนีไป ซึ่งคดีดังกล่าวนั้นตำรวจ กก.1 บก.ป.สามารถจับกุมนายศรีสุริเยน ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้