แก๊งค้ายาเสพติดอ้างเป็นตำรวจ อุ้มเหยื่อที่กำลังตามหาแฟนสาวขึ้นรถพาไปให้เพื่อนรุมกระทืบจนบอบช้ำหน้าตาบวมปูด ชักปืนขู่โทร.รีดเงินแลกปล่อยตัว พร้อมเค้นให้เหยื่อบอกที่ซ่อนยานรก แต่เหยื่อออกอุบายให้พาไปเอาของจนขับรถไปเจอด่านตรวจ ถูกรวบได้ 3 ที่เหลือซิ่งกระบะหนีรอดไปได้ พบประวัติเกี่ยวข้องยาเสพติด แถมมีคดีต้องขึ้นศาลวันนี้ด้วย
วันนี้ (2 พ.ค.) เวลา 04.00 น. ขณะที่ พ.ต.ท.ธีรพล ปลาสุวรรณ สวป.สน.ธรรมศาลา พร้อมเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจที่บริเวณหน้าหมู่บ้านเขมรัฐ ถนนบรมราชชนนี (ฝั่งขาเข้า) แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ จากนั้นได้มีรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค สีดำ ทะเบียน สษ-7401 กทม. ขับมาในด่านตรวจ โดยมีนายเบญ เปี่ยมจีน หรือเติ้ง อายุ 28 ปี เป็นคนขับ และมีนายพนารัตน์ ตุเกตุ หรือเอ อายุ 28 ปี นายวันชัย จันทร์ตรี หรือโจ้ อายุ 25 ปี โดยมีนายภูริ พรหมสวัสดิ์ หรือแอ๊ด อายุ 35 ปี นั่งอยู่ระหว่างนายพนารัตน์และนายวันชัย นั่งอยู่เบาะด้านหลัง ซึ่งนายภูริอยู่ในสภาพหน้าตาเขียวช้ำตาปูดบวมนอนหลับอยู่ เจ้าหน้าที่เห็นมีพิรุธจึงเรียกทั้งหมดลงจากรถ โดยเมื่อนายภูริเห็นว่าเป็นตำรวจจึงร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมกับกล่าวว่า ตนโดนอุ้มและถูกกลุ่มคนดังกล่าวทำร้ายร่างกาย ซึ่งขณะนั้นได้มีรถกระบะยี่ห้อมาสด้า สีบรอนซ์เงิน ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนขับตามมาด้านหลัง เห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้เรียกรถคันแรกให้หยุดตรวจจึงเร่งเครื่องหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งหมดมาสอบสวนที่ สน.ธรรมศาลา
จากการสอบสวนนายภูริที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมหน้าตาบวมปูด ริมฝีปากแตก กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า กลุ่มคนพวกนั้นมันไม่ใช่คนถึงทำแบบนี้กับตนได้ ซึ่งตนไม่ได้ทำงานอะไร เลี้ยงลูกอยู่บ้าน ก่อนเกิดเหตุได้เดินทางออกจากบ้านย่านรังสิตมาตามหาแฟนสาวที่ทำงานอยู่ในย่านบางรัก เนื่องจากก่อนหน้านั้นตนกับแฟนสาวมีปากเสียงกัน จากนั้นเวลาประมาณ 22.00 น.ของวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนกำลังเดินอยู่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสี่พระยา ได้มีชายจำนวน 5 คนลงมาจากรถเก๋งคันดังกล่าว ซึ่งมีนายนายเบญและนายวันชัยอยู่ในกลุ่มด้วย ส่วนที่เหลือตนไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน จากนั้นทั้งหมดใช้กำลังเข้าจับตนพร้อมกับพูดว่าเป็นตำรวจมาจับยาเสพติด พร้อมทั้งได้พาตนขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ต้องหาได้ทำร้ายร่างกายตนภายในรถ พร้อมทั้งเอาบุหรี่มาจี้ตามร่างกายอีกหลายแห่ง จากนั้นคนที่อยู่ในกลุ่มผู้ต้องหาได้ขอเบอร์โทรศัพท์จากตนแล้วโทรศัพท์ไปหาแม่ของตนทันที โดยบอกแม่ว่าลูกชายถูกจับข้อหายาเสพติด ถ้าไม่อยากให้นำตัวไปดำเนินคดีให้นำเงินจำนวน 50,000 บาทมาให้แล้วจะปล่อยตัวแล้ววางสายไป จากนั้นไม่นานแม่จึงโทร.กลับเข้ามายังชายคนที่โทร.หาแม่ของตนบอกกลับไปว่ากำลังจะปล่อยตัวแล้ว หลังจากนั้นไม่มีการติดต่อกันอีกเลยทางโทรศัพท์ ซึ่งการสนทนาทางโทรศัพท์นั้นไม่ทราบว่าแม่ไปตกลงกับกลุ่มผู้ต้องหาอย่างไร
นายภูริกล่าวอีกว่า กลุ่มชายดังกล่าวได้พาเข้ามาในซอยเพชรเกษม 77 ซึ่งตลอดทางกลุ่มผู้ต้องหาได้ทำร้ายตนตลอดการเดินทาง และเมื่อมาถึงซอยเพชรเกษม 77 พบกลุ่มเพื่อนของผู้ต้องหาประมาณ 20 คน โดยมีนายพนารัตน์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย จากนั้นทั้งหมดได้รุมกระทืบตามลำตัวและใบหน้า และได้ชักปืนออกมาข่มขู่และตบเข้าที่ใบหน้าของตน พร้อมทั้งถามว่าเก็บของไว้ที่ไหน จึงตอบกลับไปว่าไม่มีของ ไม่รู้เรื่อง โดยมีชายคนหนึ่งพยายามจะเอาเครื่องช็อตไฟฟ้ามาช็อตตน จึงได้กราบเท้าขอชีวิตและบอกว่าอย่าทำร้ายอีกเลย ซึ่งคนในกลุ่มก็พูดออกมาว่าเก็บของไว้ที่ไหน ด้วยความกลัวจึงออกอุบายว่าได้เก็บของไว้ที่ห้องพักของเพื่อนอยู่ในย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และมีเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นผู้ต้องหาทั้ง 3 คนจึงจับตนขึ้นรถเก๋งคันดังกล่าว และที่เหลือบางส่วนได้พากันขึ้นรถกระบะหลบหนีไป เพื่อจะพาตนไปเอาของตามที่อ้างไว้ แต่โชคดีที่รถเก๋งที่ตนนั่งมานั้นถูกเจ้าหน้าที่ตั้งด่านจับก่อน ถ้าไม่มีด่านตรวจก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
จากการสอบสวนนายวันชัย หนึ่งในผู้ต้องหารับสารภาพ โดยอ้างว่าได้รับการว่าจ้างจากนายเค หรือนายเอ็ม ไม่ทราบชื่อนามสกุล ให้ไปรับนายภูริที่หัวลำโพง เพื่อมาคุยเรื่องซื้อขายยาเสพติด โดยให้พาไปเจอที่ซอยเพชรเกษม 77 ซึ่งเมื่อนำนายภูริไปถึงซอยดังกล่าวพบนายเค กับพวกมานำตัวนายภูริ ลงจากรถไปพูดคุยกันก่อนจะรุมทำร้ายนายภูริ หลังจากนั้นนายเคให้พวกตนคุมนายภูริไปหาเพื่อนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยนายเคกับพวกขับรถกระบะตามหลัง ซึ่งพอเห็นพวกตนถูกตำรวจเรียกตรวจค้นจับกุม นายเคกับพวกจึงขับรถหลบหนีไป และขอยืนยันว่าตนกับพวกไม่ได้ทำร้ายนายภูริเลย
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว พยายามกรรโชกทรัพย์ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย แต่ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งให้พนักงานสอบสวน สน.ธรรมศาลา เพื่อทำการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน จากการตรวจสอบพบว่าเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยในวันนี้นายพนารัตน์ต้องไปขึ้นศาลอาญาธนบุรีในคดียาเสพติดด้วย
วันนี้ (2 พ.ค.) เวลา 04.00 น. ขณะที่ พ.ต.ท.ธีรพล ปลาสุวรรณ สวป.สน.ธรรมศาลา พร้อมเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจที่บริเวณหน้าหมู่บ้านเขมรัฐ ถนนบรมราชชนนี (ฝั่งขาเข้า) แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ จากนั้นได้มีรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค สีดำ ทะเบียน สษ-7401 กทม. ขับมาในด่านตรวจ โดยมีนายเบญ เปี่ยมจีน หรือเติ้ง อายุ 28 ปี เป็นคนขับ และมีนายพนารัตน์ ตุเกตุ หรือเอ อายุ 28 ปี นายวันชัย จันทร์ตรี หรือโจ้ อายุ 25 ปี โดยมีนายภูริ พรหมสวัสดิ์ หรือแอ๊ด อายุ 35 ปี นั่งอยู่ระหว่างนายพนารัตน์และนายวันชัย นั่งอยู่เบาะด้านหลัง ซึ่งนายภูริอยู่ในสภาพหน้าตาเขียวช้ำตาปูดบวมนอนหลับอยู่ เจ้าหน้าที่เห็นมีพิรุธจึงเรียกทั้งหมดลงจากรถ โดยเมื่อนายภูริเห็นว่าเป็นตำรวจจึงร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมกับกล่าวว่า ตนโดนอุ้มและถูกกลุ่มคนดังกล่าวทำร้ายร่างกาย ซึ่งขณะนั้นได้มีรถกระบะยี่ห้อมาสด้า สีบรอนซ์เงิน ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนขับตามมาด้านหลัง เห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้เรียกรถคันแรกให้หยุดตรวจจึงเร่งเครื่องหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งหมดมาสอบสวนที่ สน.ธรรมศาลา
จากการสอบสวนนายภูริที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมหน้าตาบวมปูด ริมฝีปากแตก กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า กลุ่มคนพวกนั้นมันไม่ใช่คนถึงทำแบบนี้กับตนได้ ซึ่งตนไม่ได้ทำงานอะไร เลี้ยงลูกอยู่บ้าน ก่อนเกิดเหตุได้เดินทางออกจากบ้านย่านรังสิตมาตามหาแฟนสาวที่ทำงานอยู่ในย่านบางรัก เนื่องจากก่อนหน้านั้นตนกับแฟนสาวมีปากเสียงกัน จากนั้นเวลาประมาณ 22.00 น.ของวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนกำลังเดินอยู่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสี่พระยา ได้มีชายจำนวน 5 คนลงมาจากรถเก๋งคันดังกล่าว ซึ่งมีนายนายเบญและนายวันชัยอยู่ในกลุ่มด้วย ส่วนที่เหลือตนไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน จากนั้นทั้งหมดใช้กำลังเข้าจับตนพร้อมกับพูดว่าเป็นตำรวจมาจับยาเสพติด พร้อมทั้งได้พาตนขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ต้องหาได้ทำร้ายร่างกายตนภายในรถ พร้อมทั้งเอาบุหรี่มาจี้ตามร่างกายอีกหลายแห่ง จากนั้นคนที่อยู่ในกลุ่มผู้ต้องหาได้ขอเบอร์โทรศัพท์จากตนแล้วโทรศัพท์ไปหาแม่ของตนทันที โดยบอกแม่ว่าลูกชายถูกจับข้อหายาเสพติด ถ้าไม่อยากให้นำตัวไปดำเนินคดีให้นำเงินจำนวน 50,000 บาทมาให้แล้วจะปล่อยตัวแล้ววางสายไป จากนั้นไม่นานแม่จึงโทร.กลับเข้ามายังชายคนที่โทร.หาแม่ของตนบอกกลับไปว่ากำลังจะปล่อยตัวแล้ว หลังจากนั้นไม่มีการติดต่อกันอีกเลยทางโทรศัพท์ ซึ่งการสนทนาทางโทรศัพท์นั้นไม่ทราบว่าแม่ไปตกลงกับกลุ่มผู้ต้องหาอย่างไร
นายภูริกล่าวอีกว่า กลุ่มชายดังกล่าวได้พาเข้ามาในซอยเพชรเกษม 77 ซึ่งตลอดทางกลุ่มผู้ต้องหาได้ทำร้ายตนตลอดการเดินทาง และเมื่อมาถึงซอยเพชรเกษม 77 พบกลุ่มเพื่อนของผู้ต้องหาประมาณ 20 คน โดยมีนายพนารัตน์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย จากนั้นทั้งหมดได้รุมกระทืบตามลำตัวและใบหน้า และได้ชักปืนออกมาข่มขู่และตบเข้าที่ใบหน้าของตน พร้อมทั้งถามว่าเก็บของไว้ที่ไหน จึงตอบกลับไปว่าไม่มีของ ไม่รู้เรื่อง โดยมีชายคนหนึ่งพยายามจะเอาเครื่องช็อตไฟฟ้ามาช็อตตน จึงได้กราบเท้าขอชีวิตและบอกว่าอย่าทำร้ายอีกเลย ซึ่งคนในกลุ่มก็พูดออกมาว่าเก็บของไว้ที่ไหน ด้วยความกลัวจึงออกอุบายว่าได้เก็บของไว้ที่ห้องพักของเพื่อนอยู่ในย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และมีเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นผู้ต้องหาทั้ง 3 คนจึงจับตนขึ้นรถเก๋งคันดังกล่าว และที่เหลือบางส่วนได้พากันขึ้นรถกระบะหลบหนีไป เพื่อจะพาตนไปเอาของตามที่อ้างไว้ แต่โชคดีที่รถเก๋งที่ตนนั่งมานั้นถูกเจ้าหน้าที่ตั้งด่านจับก่อน ถ้าไม่มีด่านตรวจก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
จากการสอบสวนนายวันชัย หนึ่งในผู้ต้องหารับสารภาพ โดยอ้างว่าได้รับการว่าจ้างจากนายเค หรือนายเอ็ม ไม่ทราบชื่อนามสกุล ให้ไปรับนายภูริที่หัวลำโพง เพื่อมาคุยเรื่องซื้อขายยาเสพติด โดยให้พาไปเจอที่ซอยเพชรเกษม 77 ซึ่งเมื่อนำนายภูริไปถึงซอยดังกล่าวพบนายเค กับพวกมานำตัวนายภูริ ลงจากรถไปพูดคุยกันก่อนจะรุมทำร้ายนายภูริ หลังจากนั้นนายเคให้พวกตนคุมนายภูริไปหาเพื่อนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยนายเคกับพวกขับรถกระบะตามหลัง ซึ่งพอเห็นพวกตนถูกตำรวจเรียกตรวจค้นจับกุม นายเคกับพวกจึงขับรถหลบหนีไป และขอยืนยันว่าตนกับพวกไม่ได้ทำร้ายนายภูริเลย
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว พยายามกรรโชกทรัพย์ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย แต่ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งให้พนักงานสอบสวน สน.ธรรมศาลา เพื่อทำการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน จากการตรวจสอบพบว่าเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยในวันนี้นายพนารัตน์ต้องไปขึ้นศาลอาญาธนบุรีในคดียาเสพติดด้วย