เหยื่อพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กเข้าแจ้งความตำรวจ ถูกแก๊ง 18 มงกุฎต้มตุ๋น หลอกให้พาบุตรหลานมาเทสต์หน้ากล้องเพื่อคัดเลือกเป็นนักแสดงของกันตนาและดาราวิดีโอ ในละครโทรทัศน์แนวพื้นบ้าน แต่ต้องเสียค่าเทสต์หน้ากล้องรายละ 500 บาท มีเหยื่อพ่อแม่ผู้ปกครองอยากให้บุตรหลายเป็นดาราหลงเชื่อกว่า 10 ราย สุดท้ายไม่มีใครพาบุตรหลานไปเป็นดารา เลยพากันโร่เข้าแจ้งความตำรวจ
วันนี้ (4 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงงานจากจ.สมุทรปราการว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.เชิดศักดิ์ ประกอบสุข สารวัตรเวร สภ.พระสมุทรเจดีย์ ปฏิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพักเมื่อเวลา เมื่อเวลา 17.30 น.ของวันที่ 3 เม.ย. ได้มี น.ส.สายหยุด ปิ่นสังข์ อายุ 46 ปี น.ส.นิตยา แซ่ตั้ง อายุ 54 ปี น.ส.นุชนาถ สิงห์ทอง อายุ 37 ปี และหญิงสาวอายุ 18 ปี เข้าแจ้งความว่า เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีหญิงสาวอายุประมาณ 50-55 ปี รูปร่างท้วม มากับชายอายุประมาณ 40-45 ปี รูปร่างผอมสูงไว้ผมรองทรง พร้อมกับวัยรุ่นอายุประมาณ 18-20 ปี อีก 2 คนนั่งแท็กซี่สภาพกลางเก่ากลางใหม่เข้ามาภายในคู่สร้างคอนโดวิวหมู่ที่ 1 ซอยวัดคู่สร้าง (ซอยสุขสวัสดิ์ 82) ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ โดยทั้งหมดได้อ้างว่าเป็นทีมงานของบริษัท กันตนา จำกัด และบริษัท ดาราวิดีโอ จำกัด เดินทางมาคัดเลือกนักแสดงเด็ก อายุระหว่าง 5-13 ปี เพื่อพาไปเล่นละครเรื่องไชยเชษฐ, สาวน้อยในตะเกียงแก้ว และเรื่องม่วง-ดำ ถ้าหากใครมีลูกหลานให้นำมาเทสต์หน้ากล้อง เพื่อนำไปพิจารณาในบริษัท แต่จะต้องเสียค่าเทสต์หน้ากล้องและทำเรื่องในราคารายละ 500 บาท หากเรื่องผ่านแล้วจะมารับไปร่วมงานแสดง
น.ส.สายหยุดให้การต่อว่า ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการประจำคอนโดฯ ในระหว่างทั้ง 4 คนได้อธิบายให้ฟังแล้วน่าสนใจ จึงเดินออกไปประชาสัมพันธ์ผู้เช่าคอนโดฯ ทั้ง 4 ตึกให้มาดู และร่วมพาลูกหลานเข้าเทสต์หน้ากล้องโดยมีผู้สนใจกว่า 10 รายนำบุตรหลานมาร่วมเทสต์หน้ากล้อง และเสียค่าใช้จ่าย หลังจากนั้นหญิงคนดังกล่าวบอกว่าอีกประมาณ 1 อาทิตย์จะมีรถมารอรับเด็กทั้งหมดที่หน้าคอนโดฯ แต่เวลาผ่านไปกว่า 1 เดือนแล้วไม่มีใครเดินทางมารับ จึงติดต่อทางโทรศัพท์ไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ไว้หลายครั้ง แต่ปิดเครื่อง จึงต้องรอการติดต่อไปอีก จนกระทั่งในต่อมาได้ชักชวนกันไปปรึกษานายสนิท เปี่ยมสวัสดิ์ ประธานศูนย์ควบคุมประพฤติจังหวัดสมุทรปราการ และคณะกรรมการคอนโดฯ ว่าน่าจะถูกต้มตุ๋นหลอกลวง จึงได้ชวนกันไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน
เบื้องต้นตำรวจได้ให้ผู้เสียหายได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะสอบสวนที่มาที่ไปอย่างละเอียด หากตรวจสอบแล้วพบว่าแอบอ้างมาทำให้ผู้อื่นเสียหาจะต้องได้รับโทษในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่น และหากบริษัทที่ถูกแอบอ้างได้รับความเสียหายก็สามารถดำเนินคดีได้เพิ่มอีก
วันนี้ (4 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงงานจากจ.สมุทรปราการว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.เชิดศักดิ์ ประกอบสุข สารวัตรเวร สภ.พระสมุทรเจดีย์ ปฏิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพักเมื่อเวลา เมื่อเวลา 17.30 น.ของวันที่ 3 เม.ย. ได้มี น.ส.สายหยุด ปิ่นสังข์ อายุ 46 ปี น.ส.นิตยา แซ่ตั้ง อายุ 54 ปี น.ส.นุชนาถ สิงห์ทอง อายุ 37 ปี และหญิงสาวอายุ 18 ปี เข้าแจ้งความว่า เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีหญิงสาวอายุประมาณ 50-55 ปี รูปร่างท้วม มากับชายอายุประมาณ 40-45 ปี รูปร่างผอมสูงไว้ผมรองทรง พร้อมกับวัยรุ่นอายุประมาณ 18-20 ปี อีก 2 คนนั่งแท็กซี่สภาพกลางเก่ากลางใหม่เข้ามาภายในคู่สร้างคอนโดวิวหมู่ที่ 1 ซอยวัดคู่สร้าง (ซอยสุขสวัสดิ์ 82) ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ โดยทั้งหมดได้อ้างว่าเป็นทีมงานของบริษัท กันตนา จำกัด และบริษัท ดาราวิดีโอ จำกัด เดินทางมาคัดเลือกนักแสดงเด็ก อายุระหว่าง 5-13 ปี เพื่อพาไปเล่นละครเรื่องไชยเชษฐ, สาวน้อยในตะเกียงแก้ว และเรื่องม่วง-ดำ ถ้าหากใครมีลูกหลานให้นำมาเทสต์หน้ากล้อง เพื่อนำไปพิจารณาในบริษัท แต่จะต้องเสียค่าเทสต์หน้ากล้องและทำเรื่องในราคารายละ 500 บาท หากเรื่องผ่านแล้วจะมารับไปร่วมงานแสดง
น.ส.สายหยุดให้การต่อว่า ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการประจำคอนโดฯ ในระหว่างทั้ง 4 คนได้อธิบายให้ฟังแล้วน่าสนใจ จึงเดินออกไปประชาสัมพันธ์ผู้เช่าคอนโดฯ ทั้ง 4 ตึกให้มาดู และร่วมพาลูกหลานเข้าเทสต์หน้ากล้องโดยมีผู้สนใจกว่า 10 รายนำบุตรหลานมาร่วมเทสต์หน้ากล้อง และเสียค่าใช้จ่าย หลังจากนั้นหญิงคนดังกล่าวบอกว่าอีกประมาณ 1 อาทิตย์จะมีรถมารอรับเด็กทั้งหมดที่หน้าคอนโดฯ แต่เวลาผ่านไปกว่า 1 เดือนแล้วไม่มีใครเดินทางมารับ จึงติดต่อทางโทรศัพท์ไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ไว้หลายครั้ง แต่ปิดเครื่อง จึงต้องรอการติดต่อไปอีก จนกระทั่งในต่อมาได้ชักชวนกันไปปรึกษานายสนิท เปี่ยมสวัสดิ์ ประธานศูนย์ควบคุมประพฤติจังหวัดสมุทรปราการ และคณะกรรมการคอนโดฯ ว่าน่าจะถูกต้มตุ๋นหลอกลวง จึงได้ชวนกันไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน
เบื้องต้นตำรวจได้ให้ผู้เสียหายได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะสอบสวนที่มาที่ไปอย่างละเอียด หากตรวจสอบแล้วพบว่าแอบอ้างมาทำให้ผู้อื่นเสียหาจะต้องได้รับโทษในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่น และหากบริษัทที่ถูกแอบอ้างได้รับความเสียหายก็สามารถดำเนินคดีได้เพิ่มอีก