สตม.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ออสเตรเลีย รวบแก๊งปลอมหนังสือเดินทาง ยึดของกลาง มีทั้งพาสปอร์ตดูไบ-อิหร่าน พร้อมสมุดบัญชีเงินหมุนเวียนหลายล้านบาท ตร.เผย ผู้ต้องหาชาวอิรัก เข้ามาอยู่ไทยกว่า 10 ปี จนมีภรรยาและพูดภาษาไทยคล่อง โดยรับปลอมหนังสือเดินทางให้ลูกค้าที่ต้องการไปนอก ถ้าเป็นคนไทยราคาเล่มละ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากเป็นมาเลย์ ราคาพุ่ง 1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ
วันนี้ (27 มี.ค) เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม. พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี ผบก.สส.สตม.และ พ.ต.อ.ชาติชาย เอี่ยมแสง รองผบก.สส.สตม.แถลงการจับกุม นายไรฮาน แอชชัว โอโรบิ อัลฟัทลาริ หรือ อาบู ฮานิ อายุ 39 ปี สัญชาติอิรัก และ น.ส.สุนิดา โสกูล อายุ 36 ปี ภรรยาชาวไทย พร้อมของกลางหนังสือเดินทางปลอมประเทศดูไบ 14 เล่ม หนังสือเดินทางปลอมประเทศอิหร่าน 2 เล่ม สมุดบัญชีเงินฝาก 7 เล่ม โดยมีเงินหมุนเวียนหลายล้านบาท และปรินเตอร์ 3 เครื่อง โดยวางแผนจับกุมได้ที่บ้านพักเลขที่ 310/242 ซอยรามคำแหง 70 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.
พล.ต.ท.วิบูลย์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ประสานงานอาวุโสแผนกตำรวจของสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้ขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติที่ลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ด้วยการปลอมแปลงหนังสือเดินทางในประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่ออสเตรเลีย ใช้แผนปฏิบัติการร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องภายใต้ชื่อ JOINT OPERATION ARAPAIMA เข้ากวาดล้างอาชญากรข้ามชาติพร้อมกันในวันและเวลาเดียวกันทั้ง 4 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ไทย มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย โดยทางการออสเตรเลียจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย และประเทศไทยจับได้ 2 ราย ซึ่งประเทศอื่นๆ ยังไม่สามารถจับกุมได้ ทั้งนี้ การจับกุมผู้ต้องหาในครั้งนี้ถือเป็นภารกิจสำคัญ ที่เราทำงานร่วมกับต่างชาติอย่างใกล้ชิดและประสบผลสำเร็จ
พล.ต.ต.ปรีชา กล่าวว่า สำหรับภารกิจในประเทศไทย บก.สส.สตม.นำหมายค้นศาลอาญาที่ 68/2555 ลงวันที่ 26 มี.ค.55 เข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นสามีภรรยา โดยจากการตรวจค้นภายในบ้านพบหนังสือเดินทางปลอมจำนวน 16 เล่ม นอกจากนี้ จากการสอบประวัติของ นายอาบู ฮานิ พบว่า ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2001 โดยอาศัยอยู่นานจนสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมีภรรยาเป็นคนไทย อย่างไรก็ตาม หนังสือเดินทางปลอมที่ยึดมาได้ พบว่า ทำปลอมไว้ เพื่อขายให้คนที่ต้องการไปทำงานในประเทศออสเตรเลีย โดยมีค่าปลอมแปลงให้ลูกค้าในเมืองไทยเล่มละ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากหนังสือเดินดังกล่าวส่งถึงลูกค้าในประเทศมาเลเซีย จะมีมูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่าทำรายได้ให้แก๊งนี้ได้อย่างมากมายมหาศาล
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันปลอมแปลงหนังสือเดินทาง โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไว้เพื่อจำหน่าย ซึ่งหนังสือเดินทางปลอม ซึ่งได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
วันนี้ (27 มี.ค) เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม. พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี ผบก.สส.สตม.และ พ.ต.อ.ชาติชาย เอี่ยมแสง รองผบก.สส.สตม.แถลงการจับกุม นายไรฮาน แอชชัว โอโรบิ อัลฟัทลาริ หรือ อาบู ฮานิ อายุ 39 ปี สัญชาติอิรัก และ น.ส.สุนิดา โสกูล อายุ 36 ปี ภรรยาชาวไทย พร้อมของกลางหนังสือเดินทางปลอมประเทศดูไบ 14 เล่ม หนังสือเดินทางปลอมประเทศอิหร่าน 2 เล่ม สมุดบัญชีเงินฝาก 7 เล่ม โดยมีเงินหมุนเวียนหลายล้านบาท และปรินเตอร์ 3 เครื่อง โดยวางแผนจับกุมได้ที่บ้านพักเลขที่ 310/242 ซอยรามคำแหง 70 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.
พล.ต.ท.วิบูลย์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ประสานงานอาวุโสแผนกตำรวจของสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้ขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติที่ลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ด้วยการปลอมแปลงหนังสือเดินทางในประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่ออสเตรเลีย ใช้แผนปฏิบัติการร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องภายใต้ชื่อ JOINT OPERATION ARAPAIMA เข้ากวาดล้างอาชญากรข้ามชาติพร้อมกันในวันและเวลาเดียวกันทั้ง 4 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ไทย มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย โดยทางการออสเตรเลียจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย และประเทศไทยจับได้ 2 ราย ซึ่งประเทศอื่นๆ ยังไม่สามารถจับกุมได้ ทั้งนี้ การจับกุมผู้ต้องหาในครั้งนี้ถือเป็นภารกิจสำคัญ ที่เราทำงานร่วมกับต่างชาติอย่างใกล้ชิดและประสบผลสำเร็จ
พล.ต.ต.ปรีชา กล่าวว่า สำหรับภารกิจในประเทศไทย บก.สส.สตม.นำหมายค้นศาลอาญาที่ 68/2555 ลงวันที่ 26 มี.ค.55 เข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นสามีภรรยา โดยจากการตรวจค้นภายในบ้านพบหนังสือเดินทางปลอมจำนวน 16 เล่ม นอกจากนี้ จากการสอบประวัติของ นายอาบู ฮานิ พบว่า ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2001 โดยอาศัยอยู่นานจนสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมีภรรยาเป็นคนไทย อย่างไรก็ตาม หนังสือเดินทางปลอมที่ยึดมาได้ พบว่า ทำปลอมไว้ เพื่อขายให้คนที่ต้องการไปทำงานในประเทศออสเตรเลีย โดยมีค่าปลอมแปลงให้ลูกค้าในเมืองไทยเล่มละ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากหนังสือเดินดังกล่าวส่งถึงลูกค้าในประเทศมาเลเซีย จะมีมูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่าทำรายได้ให้แก๊งนี้ได้อย่างมากมายมหาศาล
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันปลอมแปลงหนังสือเดินทาง โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไว้เพื่อจำหน่าย ซึ่งหนังสือเดินทางปลอม ซึ่งได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
