อุทธรณ์ยืนจำคุก 5 ปี อดีตพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง เรียกสินบน 6,000 บาท แลกการเร่งรัดคดีเช็ค ศาลชี้อ้างเลื่อนลอยผู้เสียหายมอบเงินให้เองฟังไม่ขึ้น
วันนี้ (14 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำ อ.1902/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.สรศักดิ์ บุตรสุวรรณ อดีตพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่ง พนักงานสอบสวนกระทำผิดเรียกรับทรัพย์สินฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157 และ 201
คดีนี้โจทก์ฟ้องบรรยายความผิดจำเลยสรุปว่า ระหว่างวันที่ 30 มี.ค. - 6 เม.ย.44 จำเลยได้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายที่ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อจำเลยที่ขณะ นั้นเป็นพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง เพื่อให้ดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับ พ.ร.บ.เช็ค โดยจำเลยเรียกรับเงินจากผู้เสียหายเป็นค่าดำเนินการติดตามคดี ครั้งละ 2,000 บาท รวม 3 ครั้ง คิดเป็นเงิน 6,000 บาท อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ โดยผู้เสียหายเห็นว่าหากยังคงติดต่อเรื่องคดีกับจำเลยต่อไปคงจะถูกเรียกรับเงินไม่จบสิ้น จึงตัดสินใจร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยตามลำดับชั้น ทั้งที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กระทั่งต้นสังกัดมีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนเพื่อชี้มูล ซึ่งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงสรุปว่า จำเลยมีความผิดตามข้อร้องเรียน โดย ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดดังกล่าวและส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการสั่งคดี ซึ่งอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องและยื่นฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาลงโทษตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ สน.หลักสอง แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.51 ว่า จำเลยกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานสอบสวนกระทำผิดเรียกรับทรัพย์สินฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 201 ให้จำคุก 5 ปี ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เมื่อจำเลยคัดค้านว่า หนึ่งในคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.เป็นอดีตผู้บังคับบัญชาของจำเลย ซึ่งอาจมีส่วนได้ส่วนเสียในคดีทำให้ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 46 อนุ 1 ซึ่งข้อคัดค้างดังกล่าวจำเลยได้ยื่นให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณา แม้ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากการตั้งคณะกรรมการสอบสวนของ ป.ป.ช.มิชอบนั้น แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองและในศาลยุติธรรมอาจมีความ แตกต่างกัน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คดียังมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยกระทำผิดตามศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายเบิกความว่า ได้เข้าแจ้งความกับจำเลยเมื่อ 30 มี.ค. เพื่อให้ดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับ พ.ร.บ.เช็ค โดยจำเลยเรียกรับเงินจากผู้เสียหายเป็นค่าคดี 2,000 บาท ต่อมาวันที่ 5 เม.ย. ผู้เสียหายได้ไปพบจำเลยอีกครั้ง จำเลยได้พูดขอเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการติดตามอีก พร้อมนัดผู้เสียหายมาพบในวันที่ 6 เม.ย. และได้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายอีก รวมเรียกรับเงิน 3 ครั้ง คิดเป็นเงิน 6,000 บาท ผู้เสียหายจึงนำเรื่องมาร้องเรียนต่อสตช. จนมีการส่งเรื่องไปที่ ป.ป.ช. นอกจากนี้โจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบสอบสวนทางวินัยจำเลยเบิก ความสนับสนุนสอดคล้องคำเบิกความของผู้เสียหาย พยานโจทก์ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าเบิกความไปตามข้อเท็จจริง พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ ที่จำเลยอ้างว่า ผู้เสียหายมอบเงินให้เพราะขอร้องค่าช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางคดีนั้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างได้ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเรียกรับเงินเป็นการเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นฟ้องด้วย พิพากษายืน