ASTVผู้จัดการรายวัน-อุทธรณ์ยืนประหารชีวิต “เสธ.น็อต” อดีตนายทหารประจำ บก.ส.ส. ยิงตำรวจสืบ 1 ดับ 2 ศพ ขณะล่อซื้อยาไอซ์ ส่วนพวกอีก 2 คน ศาลชี้ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นร่วมฆ่า พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
วานนี้ (17 ม.ค.) เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อ.2419/2550 หมายเลขแดง อ.2305/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ชานนท์ ชิณวงศ์ อายุ 44 ปี หรือ เสธ.น็อต อดีตนายทหารประจำ บก.สส.(สน.3 จชต.ยะลา) นายสุขุม หรือเบียร์ เจือแจ่มจันทร์ อายุ 32 ปี และนายวิฑูรย์ นิยกิจ อายุ 45 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานมีปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, มีอาวุธสงครามในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร, ร่วมกันฆ่า พยายามฆ่า และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2550 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก อาวุธปืนยิงแก๊ส ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้าย ด.ต.มาโนช ศรีละคร กับ ส.ต.ท.ไสว อาจหนองหว้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 จำนวนหลายนัดถึงแก่ความตาย ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปจับกุมจำเลยทั้งสามกับพวกที่ถูกยิงเสียชีวิต ภายในห้องเลขที่ 305 เดอะ ลิฟวิ่งรูม อพาร์ตเมนต์ เลขที่ 5073/8 แขวงและเขตดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ไว้สำหรับใช้เสพยาและค้ายาเสพติด ทั้งนี้ จำเลยยังได้ยิงต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของ ร.ต.ท.สาริษฐ์ อักษร รอง สว.กก.สส.บก.น.1 จน ร.ต.ท.สาริษฐ์ ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 289 นอกจากนี้ นางสุดใจ อาจหนองหว้า มารดา ส.ต.ท.ไสว เรียกค่าเสียหายจำนวน 2,340,000 บาท และนางลัดดา ศรีละคร ภรรยาของ ด.ต.มาโนช เรียกค่าเสียหายจำนวน 2,908,000 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2552 ว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครอง จำคุกคนละ 4 ปี ความผิดฐานมีอาวุธสงครามในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 4 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 1 และ 3 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงาน พยายามฆ่าเจ้าพนักงานและต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ลงโทษฐานฆ่าเจ้าพนักงาน อันเป็นบทหนักสุดลงโทษประหารชีวิต ฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 ตลอดชีวิต และให้ลงโทษประหารชีวิตอันเป็นบทหนักสุดไว้สถานเดียว โดยไม่จำต้องรวมโทษของจำเลยที่ 1 และ 3 กับคดีหมายเลขดำที่ อย.2154/2550 รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ทั้งสิ้นเป็นเวลา 10 ปี และให้นับโทษของจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีหมายเลขดำที่ อย.2154/2550 กับให้จำเลยที่ 1 และ 3 ร่วมกันชดใช้เงินให้แก่นางสุดใจ อาจหนองหว้า มารดา ส.ต.ท.ไสว จำนวน 1,180,000 บาท และนางลัดดา ศรีละคร ภรรยาของ ด.ต.มาโนช จำนวน 2,440,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์ว่าไม่มีส่วนในการกระทำผิดขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าไม่มีส่วนกระทำผิดนั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 เห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าเป็นผู้ก่อเหตุหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 และ 3 ฟังขึ้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา ส่วนจำเลยที่ 1 พิพากษายืนให้ประหารชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ วันที่ 28 ธ.ค.2554 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อย.2154/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ชานนท์ นายสุขุม และนายวิฑูรย์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) 7 ถุง น้ำหนัก 12.772 กรัม เพื่อจำหน่ายและจำหน่าย จัดหาที่พำนัก หรือที่ซ่อนเร้นเพื่อช่วยเหลือแก่ผู้กระทำผิด, เสพยาเสพติด มีเมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน (ยาอี) น้ำหนัก 0.250 กรัม ไว้ในครอบครอง ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 รวมคนละ 40 ปี และปรับคนละ 3 ล้านบาท ฐานร่วมกันมียาไอซ์ไว้เพื่อครอบครองและจำหน่าย ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุกเป็นเวลา 13 ปี 20 เดือน ปรับ 800,000 บาท
วานนี้ (17 ม.ค.) เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อ.2419/2550 หมายเลขแดง อ.2305/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ชานนท์ ชิณวงศ์ อายุ 44 ปี หรือ เสธ.น็อต อดีตนายทหารประจำ บก.สส.(สน.3 จชต.ยะลา) นายสุขุม หรือเบียร์ เจือแจ่มจันทร์ อายุ 32 ปี และนายวิฑูรย์ นิยกิจ อายุ 45 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานมีปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, มีอาวุธสงครามในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร, ร่วมกันฆ่า พยายามฆ่า และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2550 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก อาวุธปืนยิงแก๊ส ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้าย ด.ต.มาโนช ศรีละคร กับ ส.ต.ท.ไสว อาจหนองหว้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 จำนวนหลายนัดถึงแก่ความตาย ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปจับกุมจำเลยทั้งสามกับพวกที่ถูกยิงเสียชีวิต ภายในห้องเลขที่ 305 เดอะ ลิฟวิ่งรูม อพาร์ตเมนต์ เลขที่ 5073/8 แขวงและเขตดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ไว้สำหรับใช้เสพยาและค้ายาเสพติด ทั้งนี้ จำเลยยังได้ยิงต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของ ร.ต.ท.สาริษฐ์ อักษร รอง สว.กก.สส.บก.น.1 จน ร.ต.ท.สาริษฐ์ ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 289 นอกจากนี้ นางสุดใจ อาจหนองหว้า มารดา ส.ต.ท.ไสว เรียกค่าเสียหายจำนวน 2,340,000 บาท และนางลัดดา ศรีละคร ภรรยาของ ด.ต.มาโนช เรียกค่าเสียหายจำนวน 2,908,000 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2552 ว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครอง จำคุกคนละ 4 ปี ความผิดฐานมีอาวุธสงครามในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 4 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 1 และ 3 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงาน พยายามฆ่าเจ้าพนักงานและต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ลงโทษฐานฆ่าเจ้าพนักงาน อันเป็นบทหนักสุดลงโทษประหารชีวิต ฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 ตลอดชีวิต และให้ลงโทษประหารชีวิตอันเป็นบทหนักสุดไว้สถานเดียว โดยไม่จำต้องรวมโทษของจำเลยที่ 1 และ 3 กับคดีหมายเลขดำที่ อย.2154/2550 รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ทั้งสิ้นเป็นเวลา 10 ปี และให้นับโทษของจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีหมายเลขดำที่ อย.2154/2550 กับให้จำเลยที่ 1 และ 3 ร่วมกันชดใช้เงินให้แก่นางสุดใจ อาจหนองหว้า มารดา ส.ต.ท.ไสว จำนวน 1,180,000 บาท และนางลัดดา ศรีละคร ภรรยาของ ด.ต.มาโนช จำนวน 2,440,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์ว่าไม่มีส่วนในการกระทำผิดขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าไม่มีส่วนกระทำผิดนั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 เห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าเป็นผู้ก่อเหตุหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 และ 3 ฟังขึ้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา ส่วนจำเลยที่ 1 พิพากษายืนให้ประหารชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ วันที่ 28 ธ.ค.2554 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อย.2154/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ชานนท์ นายสุขุม และนายวิฑูรย์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) 7 ถุง น้ำหนัก 12.772 กรัม เพื่อจำหน่ายและจำหน่าย จัดหาที่พำนัก หรือที่ซ่อนเร้นเพื่อช่วยเหลือแก่ผู้กระทำผิด, เสพยาเสพติด มีเมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน (ยาอี) น้ำหนัก 0.250 กรัม ไว้ในครอบครอง ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 รวมคนละ 40 ปี และปรับคนละ 3 ล้านบาท ฐานร่วมกันมียาไอซ์ไว้เพื่อครอบครองและจำหน่าย ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุกเป็นเวลา 13 ปี 20 เดือน ปรับ 800,000 บาท