พ่อเลี้ยงปากีสถานเมากัญชาจนหลอน จับหัวลูกเลี้ยงวัย 5 ขวบโหม่งพื้นแล้วกระทืบซ้ำจนตายคาที่ แถมจะเอาศพมาฝัง แต่ชาวมัสยิดบ้านดอนช่วยกันขวาง ก่อนแจ้งตำรวจลากคอดำเนินคดี
วานนี้ (21 ม.ค.) เมื่อเวลา 16.00 น. พ.ต.ท.วิบูลย์ ถิ่นวัฒนากูล พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ รับแจ้งเหตุมีเด็กหญิงถูกทำร้ายร่างกายเสียชีวิต และพ่อเลี้ยงเด็กพยายามจะนำศพเด็กมาฝังที่กุโบร์ของมัสยิดบ้านดอน ซอยสุขุมวิท 49 แยก 14 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. แต่ถูกกรรมการของมัสยิดและชาวบ้านในชุมชนขัดขวางเอาไว้ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) แพทย์นิติเวช รพ.จุฬาฯ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุอยู่ในบ้านเลขที่ 477/3 ซอยดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบศพ ด.ญ.อภิชญา หรือน้องซากีนะห์ สนธิสิงห์ อายุ 5 ขวบ นอนอยู่กลางบ้านในสภาพสวมเสื้อยืดสีส้ม นุ่งกางเกงขายาวสีส้ม ตรวจสอบตามร่างกายพบว่าศีรษะบวมปูด มีรอยเขียวช้ำที่บริเวณขอบตาทั้งสอง 2 ข้าง หน้าอกและกลางหลัง นอกจากนี้ยังมีรอยบุหรี่จี้ที่แขนและขาทั้งสองข้าง โดยมีนางณภัสวัลย์ ณัฐพากย์ อายุ 40 ปี แม่เด็กนั่งร้องไห้อยู่ข้างศพ โดยเจ้าตัวมีร่องรอยเขียวช้ำที่ตาข้างขวา และมีแผลที่กลางศีรษะ และยังพบนายอารี บัต อายุ 45 ปี ชาวปากีสถาน ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของน้องซากีนะห์ นั่งละหมาดอยู่ใกล้ๆ
สอบสวนนางณภัสวัลย์ให้การว่า น้องซากีนะห์เป็นลูกติดกับสามีเก่า ส่วนตนนั้นมาอยู่กินกับนายอารีที่ห้องพักเลขที่ 1402-1403 ในโรงแรมนาซ่าเวกัส ถนนรามคำแหง แขวงและเขตสวนหลวง กทม.ได้ประมาณ 4 ปี แล้ว และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน ชื่ออับดุลเลาะห์ อายุ 1 ขวบครึ่ง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่กินกันมานั้น ตนกับสามีก็มีปากเสียงกันบ้างแต่ไม่บ่อย ทุกครั้งที่ทะเลาะกันสามีมักจะหยิบข้าวของตีตนอยู่เสมอ ส่วนน้องซากีนะห์ก็จะถูกสามีตีอยู่เป็นประจำ สาเหตุมาจากสามีชอบหาว่าน้องซากีนะห์ไม่รักน้องและไม่ยอมดูแลน้องคนเล็ก
นางณภัสวัลย์ให้การต่อว่า ระยะหลังตนถูกสามีทำร้ายร่างกายบ่อยขึ้น เนื่องจากสามีชอบหาว่าตนนอกใจไปมีคนอื่น จนกระทั่ง 2-3 วันก่อนถูกทำร้ายอย่างหนักจนทนไม่ไหว ช่วงเย็นวานนี้ (20 ม.ค.) จึงหนีมาปรึกษากับนายหมัดนู๊ด หมัดตอเฮด อายุ 86 ปี เจ้าของบ้านหลังนี้ ซึ่งรู้จักและสนิทสนามกับสามีมานานให้ช่วยแก้ปัญหาให้ แต่สามีก็ยังมาตามและคุยกันไม่รู้เรื่อง ก่อนจะพากันกลับห้องพักไปเมื่อช่วง 23.00 น. จนช่วง 11.00 น.วันนี้ตนก็ถูกสามีทำร้ายร่างกายอีกจนหน้าตาบวมปูด นอกจากนี้ สามียังไปทำร้ายน้องซากีนะห์ด้วยการทุบตี และจับขายกขึ้นก่อนจะปล่อยให้ศีรษะโหม่งพื้นห้อง แถมยังกระทืบซ้ำจนลูกสาวตนแน่นิ่งไป พอสามีรู้ว่าลูกสาวเสียชีวิตแล้วก็อุ้มศพลูกไปขอฝังศพที่กุโบร์ แต่ก็ถูกขัดขวางไว้ดังกล่าว
ด้าน นายหมัดนู๊ดกล่าวว่า ตนรู้จักกับนายอารีมานาน 20 กว่าปีแล้ว ทราบแต่ว่าเจ้าตัวมีภรรยาสองคน นางณภัสวัลย์เป็นภรรยาคนแรก ก่อนหน้านี้ตนก็ไม่เคยเห็นนายอารีทำร้ายร่างกายภรรยาหรือลูกเลี้ยงแต่อย่างใด จนกระทั่ง 1 เดือนก่อนเจ้าตัวก็เริ่มทำร้ายร่างกายภรรยากับลูกเลี้ยง และเหมือนกับมีอาการทางประสาท จนกระทั่งเย็นวานนี้ นางณภัสวัลย์ก็หนีมาปรึกษาตนว่าถูกทำร้ายจนทนไม่ไหวแล้วจะขอแยกทาง ตนก็แนะนำให้กลับไปอยู่บ้าน ส่วนน้องซากีนะห์นั้น ตนจะขอเลี้ยงไว้เอง หลังจากนั้นนายอารีก็ตามมาทะเลาะกันที่บ้านอีก จนกระทั่งพากันกลับไป จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.ที่ผ่านมา นายอารีก็อุ้มน้องซากีนะห์พาดบ่า แล้วพานางณภัสวัลย์มาหาตน พร้อมบอกว่าน้องซากีนะห์เสียชีวิตแล้ว จะขอฝังศพที่กุโบร์ แต่ตนเห็นว่าเด็กมีร่อยรอยถูกทำร้ายร่างกายจึงรีบแจ้งนายวินัย บัลลังน้อย กรรมการมัสยิดและผู้ดูแลการฝังศพของมัสยิดให้มาตรวจสอบ ก่อนจะแจ้งตำรวจดังกล่าว
ทางเจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวนายอารีไปสอบปากคำที่ สน.ทองหล่อ แต่เจ้าตัวพยายามขัดขืน ประกอบกับชาวบ้านในละแวกดังกล่าวที่ทราบข่าวก็พยายามจะกรูเข้ามาทำร้ายร่างกายนายอารี ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรีบเข้าควบคุมตัวนายอารีออกไปโรงพัก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เห็นว่านายอารียังพูดจาไม่รู้เรื่อง ให้การวกวนไปมา จึงทำการตรวจปัสสาวะเบื้องต้นพบว่าเป็นสีม่วงจากการเสพสารเสพติดประเภทที่ 5 (กัญชา) จึงให้นั่งสงบสติอารมณ์ก่อนทำการสอบปากคำ แต่เจ้าตัวยังให้การวกวนไปมาเช่นเดิม แต่พอจับใจความได้ว่า ก่อนหน้านี้ทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แต่ตอนนี้ออกมาทำงานช่วยเพื่อนขายรถเบนซ์อยู่ย่านพระราม 9 และกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมงานกับเพื่อนกันเป็นพันล้านยูโร ส่วนเรื่องทำร้ายร่างกายน้องซากีนะห์นั้นยอมรับว่าทำจริง แต่เป็นเพราะเด็กมีอาการเหมือนถูกไสยศาสตร์ เวลาเรียกชอบมองตาขวางไม่เหมือนมนุษย์จึงต้องทุบตี ส่วนเรื่องเอาบุหรี่จี้ตามตัวนั้นเป็นเพราะต้องการจะดูว่าเวลาลูกถูกทำร้ายนั้น ภรรยาของตนจะมีอาการอย่างไร สำหรับเรื่องสูบกัญชานั้น ตนยอมรับว่าสูบจริง แต่เป็นเพราะต้องคิดงานการตลาด และศาสนาตนห้ามดื่มเหล้า
ด้าน พ.ต.อ.รัฐศักดิ์ รักสลาม ผกก.สน.ทองหล่อ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนของ สน.ทองหล่อ รับผิดชอบเรื่องการส่งศพเด็กไปชันสูตรว่าเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร ส่วนเรื่องการดำเนินคดีต่อนายอารีนั้น ได้ประสาน ร.ต.อ.สำเนียง โสธร พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.คลองตัน ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ที่นายอารีลงมือทำร้ายร่างกายเด็กจนเสียชีวิต ให้มาทำการสอบปากคำนายอารี ก่อนจะแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จากนั้นจะส่งตัวให้สน.คลองตันนำตัวไปดำเนินคดีต่อไป อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้ต้องขอชมชาวชุมชนมัสยิดบ้านดอนที่สังเกตเห็นว่าเด็กถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตและไม่ยอมให้ฝังศพเด็ก ก่อนจะรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปตรวจสอบ จนทำให้สามารถจับกุมพ่อเลี้ยงเด็กเอาไว้ได้ทันที