กองปราบฯ ควบคุมตัว “อาทริส ฮุสเซน” หนุ่มชาวเลบานอนสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายฮิซบอลเลาะห์ ฝากขังศาลอาญาคดีมีไว้ซึ่งสารตั้งต้นผลิตระเบิด พร้อมค้านประกัน เกรงจะหลบหนี ก่อนส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯทันที
วันนี้ (17 ม.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวน (สบ4) กองบังคับการปราบปราม ควบคุมตัว นายอาทริส ฮุสเซน (Mr.Atris Hussein) อายุ 47 ปี สัญชาติเลบานอน-สวีเดน ภูมิลำเนาอยู่ที่ เบรุตฮาดัท ถ.จามุส อาคารกราดิเนีย ชั้น 4 ประเทศเลบานอน ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย ฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ผู้ต้องหามีวัตถุระเบิดในครอบครอง มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-28 ม.ค.เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบสวนพยานอีก 30 ปาก รวมทั้งประสานหน่วยข่าวกรองทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูลก่อการร้ายและติดตามพิสูจน์วัตถุพยานที่ยึดได้จากห้องเช่าหลายรายการ และการสืบสวนขยายผล เพื่อติดตามจับกุมผู้ร่วมกระทำผิด
ทั้งนี้ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากพฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหากับพวกสังกัดองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติหัวรุนแรง มุ่งกระทำต่อบุคคลต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตก และสัญชาติอิสราเอล ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ซึ่งมักวางระเบิดที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไม่คำนึงถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กสตรี ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อภาพลักษณ์เศรษฐกิจและความสงบเรียบร้อย และยังเป็นการกระทำภายใต้องค์กรที่ปกปิดความลับและซับซ้อน ขณะที่คดียังอยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและผู้ต้องหายังเป็นบุคคลต่างด้าวไม่มีที่อยู่ และอาชีพเป็นหลักแหล่งในประเทศไทย จึงเกรงว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจะหลบหนีไปสมคบกับพวกที่หลบหนี เพื่อก่อเหตุร้ายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐอย่างร้ายแรง หรือไปข่มขู่และยุ่งกับพยานหลักฐานอื่น
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า หลังจาก สตช.ได้รับการประสานจากฝ่ายกิจการตำรวจประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศอิสราเอล ว่า เมื่อเดือน ธ.ค. 2554 มีสมาชิกฮิซบอลเลาะห์ สัญชาติเลบานอน ลักลอบเข้ามาในประเทศไทย เพื่อก่อความไม่สงบด้วยการวางระเบิดในแหล่งท่องเที่ยว เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนข้าวสาร ซึ่งต่อมาสถานทูตอิสราเอล ยังได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติม ว่า การเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อพยายามก่อเหตุกับต่างชาติที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกอาหรับ สตช.และหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ ได้เร่งรัดสืบสวนจับกุมกระทั่งพบผู้ต้องหาที่สนามบินสุวรรณภูมิที่กำลังจะหลบหนี
จากการตรวจสอบหลักฐาน พบว่า ผู้ต้องหาถือสัญชาติเลบานอนและสวีเดน เดินทางเข้าออกประเทศไทยรวม 11 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยจะพักประจำอยู่ที่โรงแรมออลซีซัน กรุงเทพฯ-สยาม ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.
ต่อมาสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงได้เพิกถอนการอนุญาตผู้ต้องหาให้อยู่ในราชอาณาจักรและกักตัวไว้เพื่อส่งออกนอกประเทศ แต่จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2553 ได้เช่าตึกแถว 2 คูหา เลขที่ 52/15 ม.2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ไว้เพื่อเก็บสะสมอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการก่อเหตุ และวันที่ 11 ม.ค.2555 ได้เช่ารถยนต์โตโยต้าวีออส จากร้านสาทรคาร์เร้นท์ เขตสาธร กทม.เพื่อไปถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆ และซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิด เช่น ถุงพลาสติกจากร้านค้าย่านเยาวราช เพื่อนำไปบรรจุวัตถุระเบิดและสิ่งของอื่นๆ ในพื้นที่ กทม.ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นอาคารใน จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2555 พบแกลลอนบรรจุของเหลวจำนวน 11 แกลลอน ซึ่งผู้ชำนาญการยืนยันว่า เป็นแอมโมเนียไนเตรต ที่ใช้เป็นส่วนผสมของวัตถุระเบิดได้ ถุงพลาสติกที่บรรจุผลึกสารเคมีสีขาวรวม 335 กล่อง พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีผู้ต้องหาฐานมีไว้ซึ่งยุทธภัณฑ์ (แอมโมเนียไนเตรต) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 ประกอบ ประกาศกระทรวงกลาโหมเรื่องกำหนดชนิดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้นำตัวนายอาทริสไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายอาทริส มายื่นคำร้องฝากขังแล้ว มีเจ้าหน้าที่สถานทูตมาติดตามการดำเนินคดีนายอาทริสด้วย แต่ไม่มีการยื่นขอประกันตัวแต่อย่างใด
วันนี้ (17 ม.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวน (สบ4) กองบังคับการปราบปราม ควบคุมตัว นายอาทริส ฮุสเซน (Mr.Atris Hussein) อายุ 47 ปี สัญชาติเลบานอน-สวีเดน ภูมิลำเนาอยู่ที่ เบรุตฮาดัท ถ.จามุส อาคารกราดิเนีย ชั้น 4 ประเทศเลบานอน ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย ฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ผู้ต้องหามีวัตถุระเบิดในครอบครอง มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-28 ม.ค.เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบสวนพยานอีก 30 ปาก รวมทั้งประสานหน่วยข่าวกรองทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูลก่อการร้ายและติดตามพิสูจน์วัตถุพยานที่ยึดได้จากห้องเช่าหลายรายการ และการสืบสวนขยายผล เพื่อติดตามจับกุมผู้ร่วมกระทำผิด
ทั้งนี้ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากพฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหากับพวกสังกัดองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติหัวรุนแรง มุ่งกระทำต่อบุคคลต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตก และสัญชาติอิสราเอล ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ซึ่งมักวางระเบิดที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไม่คำนึงถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กสตรี ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อภาพลักษณ์เศรษฐกิจและความสงบเรียบร้อย และยังเป็นการกระทำภายใต้องค์กรที่ปกปิดความลับและซับซ้อน ขณะที่คดียังอยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและผู้ต้องหายังเป็นบุคคลต่างด้าวไม่มีที่อยู่ และอาชีพเป็นหลักแหล่งในประเทศไทย จึงเกรงว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจะหลบหนีไปสมคบกับพวกที่หลบหนี เพื่อก่อเหตุร้ายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐอย่างร้ายแรง หรือไปข่มขู่และยุ่งกับพยานหลักฐานอื่น
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า หลังจาก สตช.ได้รับการประสานจากฝ่ายกิจการตำรวจประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศอิสราเอล ว่า เมื่อเดือน ธ.ค. 2554 มีสมาชิกฮิซบอลเลาะห์ สัญชาติเลบานอน ลักลอบเข้ามาในประเทศไทย เพื่อก่อความไม่สงบด้วยการวางระเบิดในแหล่งท่องเที่ยว เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนข้าวสาร ซึ่งต่อมาสถานทูตอิสราเอล ยังได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติม ว่า การเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อพยายามก่อเหตุกับต่างชาติที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกอาหรับ สตช.และหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ ได้เร่งรัดสืบสวนจับกุมกระทั่งพบผู้ต้องหาที่สนามบินสุวรรณภูมิที่กำลังจะหลบหนี
จากการตรวจสอบหลักฐาน พบว่า ผู้ต้องหาถือสัญชาติเลบานอนและสวีเดน เดินทางเข้าออกประเทศไทยรวม 11 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยจะพักประจำอยู่ที่โรงแรมออลซีซัน กรุงเทพฯ-สยาม ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.
ต่อมาสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงได้เพิกถอนการอนุญาตผู้ต้องหาให้อยู่ในราชอาณาจักรและกักตัวไว้เพื่อส่งออกนอกประเทศ แต่จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2553 ได้เช่าตึกแถว 2 คูหา เลขที่ 52/15 ม.2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ไว้เพื่อเก็บสะสมอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการก่อเหตุ และวันที่ 11 ม.ค.2555 ได้เช่ารถยนต์โตโยต้าวีออส จากร้านสาทรคาร์เร้นท์ เขตสาธร กทม.เพื่อไปถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆ และซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิด เช่น ถุงพลาสติกจากร้านค้าย่านเยาวราช เพื่อนำไปบรรจุวัตถุระเบิดและสิ่งของอื่นๆ ในพื้นที่ กทม.ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นอาคารใน จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2555 พบแกลลอนบรรจุของเหลวจำนวน 11 แกลลอน ซึ่งผู้ชำนาญการยืนยันว่า เป็นแอมโมเนียไนเตรต ที่ใช้เป็นส่วนผสมของวัตถุระเบิดได้ ถุงพลาสติกที่บรรจุผลึกสารเคมีสีขาวรวม 335 กล่อง พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีผู้ต้องหาฐานมีไว้ซึ่งยุทธภัณฑ์ (แอมโมเนียไนเตรต) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 ประกอบ ประกาศกระทรวงกลาโหมเรื่องกำหนดชนิดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้นำตัวนายอาทริสไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายอาทริส มายื่นคำร้องฝากขังแล้ว มีเจ้าหน้าที่สถานทูตมาติดตามการดำเนินคดีนายอาทริสด้วย แต่ไม่มีการยื่นขอประกันตัวแต่อย่างใด