ผัวขี้เมา หาเรื่องทะเลาะตบตีเมียเป็นประจำ สุดท้ายเมียทนไม่ไหวถูกซ้อมน่วม แถมถือมีดจะเข้ามาทำร้ายเลยกอดรัดฟัดเหวี่ยง จนมีดปักเข้าร่างผัว 3 แผล เสียชีวิตอนาถ
วันนี้ (16 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.20 น.พ.ต.ท.สมเกียรติ พลอยทับทิม พนักงานสอบสวน (สบ2) สน.ลุมพินี รับแจ้งเหตุใช้อาวุธมีดแทงกันตายในบ้านเลขที่ 184/30 ซอยสุขุมวิท 10 แขวงและเขตคลองเตย กทม.จึงตรวจสอบพร้อมที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ปิโยรส กัณหะสิริ พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ สว.สส.สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช รพ.จุฬาฯ และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ซึ่งเป็นบ้านพักสวัสดิการพนักงาน รปภ.โรงงานยาสูบ บริเวณใต้ถุนบ้าน พบศพ นายสมศักดิ์ สิทธิชัย อายุ 40 ปี พ่อค้าขายไส้กรอกอีสาน นอนหงายจมกองเลือดอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ สภาพสวมเสื้อลายสก็อตแขนสั้นสีฟ้าขาว นุ่งกางเกงขายาวสีดำ ใส่รองเท้ารัดส้นสีน้ำตาล ตามร่างกายมีบาดแผลถูกแทงด้วยอาวุธมีด 3 แผล เข้าที่เหนือราวนมซ้าย รักแร้ข้างซ้าย และท้องแขนซ้าย จากการตรวจสอบถังขยะหน้าบ้านยังพบอาวุธมีดปอกผลไม้ยาว 5 นิ้ว เปื้อนเลือดที่ถูกนำไปทิ้งไว้ จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ ยังพบนางประพิณ ธิพานุกะ อายุ 46 ปี ภรรยาผู้ตาย ยืนรอมอบตัวกับตำรวจ สภาพหน้าตาบวมปูด และบาดแผลเป็นรอยข่วนทั่วใบหน้า
จากการสอบสวน นางประพิณ ให้การรับสารภาพว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักสวัสดิการของอดีตสามีชื่อ นายบุญเกิด ธิพานุกะ รปภ.โรงงานยาสูบที่เกษียณ หลังสามีเก่าย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ปล่อยให้ตนอยู่เพียงลำพัง จนมาพบและอยู่กินกับผู้ตายเมื่อ 5 ปีก่อน โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน นายสมศักดิ์ ชอบเมาเหล้า และหาเรื่องตบตีเป็นประจำ ก่อนเกิดเหตุ กำลังนั่งล้างไส้กรอกอีสานอยู่ นายสมศักดิ์ ซึ่งออกไปกินเหล้าตั้งแต่ช่วงเช้าก็เดินถือมีดปอกผลไม้เข้ามาหาเรื่อง พร้อมพยายามเข้ามาทำร้าย ตนทนไม่ไหวจึงตอบโต้กลับไป โดยระหว่างที่กอดรัดกันชุลมุนได้แย่งมีดจากมือของ นายสมศักดิ์ มาได้ จึงพยายามแกว่งมีดป้องกันตัวจนถูก นายสมศักดิ์ ล้มลงเสียชีวิต จึงรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจและยืนรอมอบตัว
ด้าน พ.ต.ท.ปิโยรส กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และไม่มีท่าทีจะหลบหนี เบื้องต้นจึงควบคุมตัวเอาไว้พร้อมยึดอาวุธมีดของกลางไปสอบสวนอย่างละเอียดที่ สน.ลุมพินี ซึ่งพนักงานสอบสวนก็คงจะแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นเอาไว้ก่อน ส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวหรือบันดาลโทสะจากการถูกทำร้ายร่างกายนั้น ต้องรอการตรวจสอบจากแพทย์ และผลการสอบปากคำพยานแวดล้อมอีกครั้งก่อนนำคำให้การไปยืนยันบนชั้นศาล
วันนี้ (16 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.20 น.พ.ต.ท.สมเกียรติ พลอยทับทิม พนักงานสอบสวน (สบ2) สน.ลุมพินี รับแจ้งเหตุใช้อาวุธมีดแทงกันตายในบ้านเลขที่ 184/30 ซอยสุขุมวิท 10 แขวงและเขตคลองเตย กทม.จึงตรวจสอบพร้อมที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ปิโยรส กัณหะสิริ พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ สว.สส.สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช รพ.จุฬาฯ และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ซึ่งเป็นบ้านพักสวัสดิการพนักงาน รปภ.โรงงานยาสูบ บริเวณใต้ถุนบ้าน พบศพ นายสมศักดิ์ สิทธิชัย อายุ 40 ปี พ่อค้าขายไส้กรอกอีสาน นอนหงายจมกองเลือดอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ สภาพสวมเสื้อลายสก็อตแขนสั้นสีฟ้าขาว นุ่งกางเกงขายาวสีดำ ใส่รองเท้ารัดส้นสีน้ำตาล ตามร่างกายมีบาดแผลถูกแทงด้วยอาวุธมีด 3 แผล เข้าที่เหนือราวนมซ้าย รักแร้ข้างซ้าย และท้องแขนซ้าย จากการตรวจสอบถังขยะหน้าบ้านยังพบอาวุธมีดปอกผลไม้ยาว 5 นิ้ว เปื้อนเลือดที่ถูกนำไปทิ้งไว้ จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ ยังพบนางประพิณ ธิพานุกะ อายุ 46 ปี ภรรยาผู้ตาย ยืนรอมอบตัวกับตำรวจ สภาพหน้าตาบวมปูด และบาดแผลเป็นรอยข่วนทั่วใบหน้า
จากการสอบสวน นางประพิณ ให้การรับสารภาพว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักสวัสดิการของอดีตสามีชื่อ นายบุญเกิด ธิพานุกะ รปภ.โรงงานยาสูบที่เกษียณ หลังสามีเก่าย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ปล่อยให้ตนอยู่เพียงลำพัง จนมาพบและอยู่กินกับผู้ตายเมื่อ 5 ปีก่อน โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน นายสมศักดิ์ ชอบเมาเหล้า และหาเรื่องตบตีเป็นประจำ ก่อนเกิดเหตุ กำลังนั่งล้างไส้กรอกอีสานอยู่ นายสมศักดิ์ ซึ่งออกไปกินเหล้าตั้งแต่ช่วงเช้าก็เดินถือมีดปอกผลไม้เข้ามาหาเรื่อง พร้อมพยายามเข้ามาทำร้าย ตนทนไม่ไหวจึงตอบโต้กลับไป โดยระหว่างที่กอดรัดกันชุลมุนได้แย่งมีดจากมือของ นายสมศักดิ์ มาได้ จึงพยายามแกว่งมีดป้องกันตัวจนถูก นายสมศักดิ์ ล้มลงเสียชีวิต จึงรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจและยืนรอมอบตัว
ด้าน พ.ต.ท.ปิโยรส กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และไม่มีท่าทีจะหลบหนี เบื้องต้นจึงควบคุมตัวเอาไว้พร้อมยึดอาวุธมีดของกลางไปสอบสวนอย่างละเอียดที่ สน.ลุมพินี ซึ่งพนักงานสอบสวนก็คงจะแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นเอาไว้ก่อน ส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวหรือบันดาลโทสะจากการถูกทำร้ายร่างกายนั้น ต้องรอการตรวจสอบจากแพทย์ และผลการสอบปากคำพยานแวดล้อมอีกครั้งก่อนนำคำให้การไปยืนยันบนชั้นศาล