"นายครรชิต ทับสุวรรณ"เขาคือ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ เขาคือผู้ต้องหาฐานฆ่า"นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์"นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร เลขที่ จ.454/2554 ลงวันที่ 26 ธ.ค. 2554
โดยข้อกล่าวหาที่สุดแสนจะรุนแรง สำหรับ"ครรชิต ทับสุวรรณ"ครั้งนี้! มีพยานปากสำคัญคือ คนขับรถของผู้ตาย ที่ให้การกับตำรวจว่า เขาเห็น"ครรชิต"เป็นผู้ลั่้นไก ฆ่านายของตนเอง อย่างโหดเหี้ยม จนนำไปสู่การออกหมายจับ และ"ครรชิต"เข้ามอบตัวในที่สุด
การเข้ามอบตัวโดยนั่งรถกันกระสุน มีตำรวจคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถือว่า ไม่ธรรมดา เพราะนั่นหมายถึงความปลอดภัย และทำไม?"นายครรชิต"ถึงต้องกลัว!
หลังนายอุดร ถูกยิงตาย และนายครรชิต ถูกศาลออกหมายจับ โดยตำรวจตั้งปมประเด็นเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว โดยที่คดีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนเชื่อไปว่า"ครรชิต ทับสุวรรณ"เขาคือผู้ต้องหาตัวจริง!
ขณะที่การเข้ามอบตัวของ"ครรชิต"หลายคนก็รอฟังเหตุผลของเขาว่า ทำไม?จึงได้ก่อเหตุรุนแรงเช่นนั้น เขามีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้สังคมให้อภัยเขาหรือไม่?
แต่ทว่า...เรื่องราวกลับ พลิกผัน เมื่อ"ครรชิต"เขาให้การปฎิเสธและขอต่อสู้คดี โดยพูดสั้นๆว่า ..."ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้เป็นคนลงมือสังหารนายอุดร เนื่องจากไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งกับนายอุดร มาก่อน เรื่องนี้ อยากให้ไปถามคนสมุทรสาครว่า ผมเป็นคนอย่างไร"
ใช่อยู่...สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้ต้องหา หรือ จำเลย ทุกคน ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ดังนั้น ในกรณีของคนที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดอาญาจึงได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าศาลจะพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำผิด
ดังนั้น กรณี"ครรชิต ทับสุวรรณ"เขาอยู่ในฐานะ"ผู้ต้องหา"ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เขาย่อมมีสิทธิตามกฎหมายในการต่อสู้คดีตามสิทธิที่เขาพึงมีทุกประการ..!
คดีนี้"พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต"รองผบ.ตร.ได้พูดหลังแจ้งข้อกล่าวหากับ"นายครรชิต"เกี่ยวกับประเด็นอาวุธปืนไว้อย่างน่าสนใจว่า...."ในส่วนอาวุธปืนที่ยิงนั้น จากการเก็บปลอกกระสุน พบว่าเป็นขนาด .40 ซึ่งมีคนใช้น้อยมาก เราได้เก็บปลอกและนำไปเปรียบเทียบกับหัวกระสุนที่เก็บได้ เป็นชนิดเดียวกัน และสอบถึงการครอบครองอาวุธปืน ซึ่งนายครรชิตนั้น ได้ขอขึ้นทะเบียนปืนชนิดนี้ไว้ด้วย จึงเชื่อว่าเป็นปืนที่ใช้ยิง เพราะน้อยคนที่ใช้ รวมถึงนายครรชิต เคยเป็นสมาชิกชมรมยิงปืนในค่ายทหารแห่งหนึ่งนั้น ก็ให้ ตร.ไปสอบแล้วเช่นกัน ก็พบว่า อาวุธปืนที่ซ้อมยิงนั้น เป็นขนาด .40"
จากคำพูดของ"พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต"ทำให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่า"ครรชิต"คือผู้ต้องหาตัวจริง และไม่ใช่แพะแน่นอน!
แต่สำหรับคนในฟากฝั่งพรรคประชาธิปัติย์ พรรคที่"ครรชิต ทับสุวรรณ"สังกัดอยู่ กลับไม่คิดเช่นนั้น และถือเป็น วิถีแห่งการต่อสู้คดีของคนในพรรคการเมืองนี้ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค เคยพร่ำพูดอยู่เสมอว่า"ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และ ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย"
การประกาศต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของ"ครรชิต"หากเขาคิดเอง และต่อสู้เอง ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
แต่หากการต่อสู้ครั้งนี้เกิดจากความคิดของขุนพลพรรคประชาธิปัติย์ ที่มากด้วยนักกฎหมายมือดี ถือว่าไม่ค่อยสวยเท่าใดนัก...หากเรื่องจริงคนในพรรครู้ดีว่า"ครรชิต"คือคนยิง"อุดร"
ความพยายามของคนพรรคประชาธิปัติย์ ในการต่อสู้คดีให้ลูกพรรค ถือว่าได้เดินไปอย่างรวดเร็ว
เริ่มจากในช่วงเช้าวันที่ 27ธ.ค.54 ผู้บริหารระดับสูงของพรรค อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรค ได้ปิดห้องพูดคุยอย่างเคร่งเครียด โดยใช้เวลาหลายชั่วโมง มี นายเอนก ทับสุวรรณ บิดาของนายครรชิต ร่วมด้วย
วงหารือ นายเอนก ได้ยืนยันว่า ลูกชายเป็นคนดี เรียบร้อย ไม่มีความคิดจะฆ่าใคร และตระกูลทับสุวรรณ กับไกรวัตนุสสรณ์ ถึงแม้จะเป็นคู่แข่งกัน แต่ก็สนิทสนมกัน เจอกันตามงานของชาวบ้านบ่อยครั้ง การต่อสู้ทางการเมืองตลอด 40 กว่าปี ไม่เคยดุเดือดถึงขั้นต้องเอาชีวิต ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีความแค้นสะสม
ทำให้ในการหารือ จึงมีการตั้งข้อสังเกต ถึงความน่าเชื่อถือของพยาน ที่นำไปสู่การออกหมายจับว่า มาจากพยานเพียงแค่คนเดียวคือ คนขับรถของนายอุดร โดยแสดงความกังขากับบทบาทของตำรวจในการทำคดีว่า พยายามโยงให้เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้
ทั้งนี้ ได้มีการเปรียบเทียบกับคดีคนสนิทของนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ที่พรรคมีหลักฐานว่า เกี่ยวพันกับคู่แข่งในพื้นที่ แต่ตำรวจกลับตัดประเด็นการเมืองออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ยังไม่สอบสวน แต่คดีนายกอบจ.สมุทรสาคร กลับโยงถึงพรรคประชาธิปัตย์ทันที
ส่วนเพื่อน ส.ส.หลายคน ให้ข้อมูลว่า นายครรชิต เป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย ไม่เคยแสดงท่าทีก้าวร้าวหรือนักเลงแต่อย่างใด รวมทั้งบิดายังเป็นคนออกแนวธรรมะธัมโมด้วยซ้ำ ทำให้เพื่อน ส.ส.ในพรรคไม่เชื่อว่า นายครรชิต จะเป็นก่อเหตุอุกอาจครั้งนี้
ถัดมาคำพูดของ"นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ"ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ (ลูกรักนายหัวชวน) ที่เขาขอสวมบทบาทในฐานะทนายความนำตัวนายครรชิต เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาพูดว่า"ครรชิต ไม่ได้กระทำผิด และเขาคือผู้บริสุทธิ์"
นายนิพิฏฐ์ ตั้งข้อสังเกตุว่า "ผมรู้สึกแปลกใจว่า ตำรวจสามารถออกหมายจับ นายครรชิต ได้อย่างรวดเร็ว แตกต่างจากคดีที่มีการยิงคนสนิทของ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่จนถึงขณะนี้ยังหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ ดังนั้น อยากให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาเร่งรัดทุกคดีให้มีความคืบหน้าเท่าเทียมกัน ไม่ใช่พอเป็นคดีความที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายค้านก็มีการเร่งรัดเป็นพิเศษ เพราะจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการทำคดีด้วย"
การโยงคดีฆ่าคนตาย สู่ประเด็นการทำลายล้างทางการเมืองของ"นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ"สมควรหรือไม่?ขึ้นอยู่กับประชาชน ผู้ติดตามข่าว เป็นผู้ตัดสินใจว่า...คดีนี้ใช่ หรือ ไม่ใช่
แต่หากนำความพยายามในการช่วยเหลือ"ครรชิต ทับสุวรรณ"ต่อสู้คดีฐานฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ในครั้งนี้..ไปเทียบเคียงกับอดีตครั้งที่"ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง"ช่วยเหลือ"ดวงเฉลิม อยู่บำรุง"ผู้เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ครั้งถูกดำเนินคดีและฟ้องฐานฆ่า"ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ "ตำรวจกองปราบปราม ตายใน "ทเวนตี้ผับ"โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถ.รัชดาภิเษก โดยที่คดีนี้ "เฉลิม อยู่บำรุง"พูดเสียงดังฟังชัดว่า....ลูกผมไม่ได้ยิง แต่ไอ้ปื๊ด เป็นคนยิง...สุดท้ายลูกชายของเขา ก็คือ ผู้บริสุทธิ์ ตามสิทธิของกฎหมาย เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุด
ผลที่ตามมากรณี"เฉลิม อยู่บำรุง"ผู้รับบทบาทเป็นพ่อ ทำหน้าที่ปกป้องลูกแบบสุดลิ่ม ทิ่มประตู ในยุคนั้น ทำให้เขาเสื่อมซึ่งคุณธรรมและจริยธรรม จนมีการพูดกันว่า"เหลิม เสื่อมเพราะลูก"
ดังนั้น การต่อสู้ของคนในพรรคประชาธิปัติย์ที่หวังทำเพื่อช่วยเหลือ"ครรชิต ทับสุวรรณ"ลูกพรรคให้พ้นผิด จึงไม่ต่างไปจากกรณี"เหลิม ช่วยลูกชายในครั้งอดีต"...นั่นคือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ในพรรคต้องขบคิดให้มาก กับการช่วยเหลือ ปกป้อง "ผู้ต้องหาฆ่าคนตาย"รายนี้! หรือ เพราะว่า"ครรชิต"เขามีพ่อที่ชื่อ"เอนก ทับสุวรรณ"พรรคประชาธิปัติย์ จึงยอมเปลืองตัวมากถึงขนาดนี้!
โดยข้อกล่าวหาที่สุดแสนจะรุนแรง สำหรับ"ครรชิต ทับสุวรรณ"ครั้งนี้! มีพยานปากสำคัญคือ คนขับรถของผู้ตาย ที่ให้การกับตำรวจว่า เขาเห็น"ครรชิต"เป็นผู้ลั่้นไก ฆ่านายของตนเอง อย่างโหดเหี้ยม จนนำไปสู่การออกหมายจับ และ"ครรชิต"เข้ามอบตัวในที่สุด
การเข้ามอบตัวโดยนั่งรถกันกระสุน มีตำรวจคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถือว่า ไม่ธรรมดา เพราะนั่นหมายถึงความปลอดภัย และทำไม?"นายครรชิต"ถึงต้องกลัว!
หลังนายอุดร ถูกยิงตาย และนายครรชิต ถูกศาลออกหมายจับ โดยตำรวจตั้งปมประเด็นเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว โดยที่คดีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนเชื่อไปว่า"ครรชิต ทับสุวรรณ"เขาคือผู้ต้องหาตัวจริง!
ขณะที่การเข้ามอบตัวของ"ครรชิต"หลายคนก็รอฟังเหตุผลของเขาว่า ทำไม?จึงได้ก่อเหตุรุนแรงเช่นนั้น เขามีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้สังคมให้อภัยเขาหรือไม่?
แต่ทว่า...เรื่องราวกลับ พลิกผัน เมื่อ"ครรชิต"เขาให้การปฎิเสธและขอต่อสู้คดี โดยพูดสั้นๆว่า ..."ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้เป็นคนลงมือสังหารนายอุดร เนื่องจากไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งกับนายอุดร มาก่อน เรื่องนี้ อยากให้ไปถามคนสมุทรสาครว่า ผมเป็นคนอย่างไร"
ใช่อยู่...สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้ต้องหา หรือ จำเลย ทุกคน ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ดังนั้น ในกรณีของคนที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดอาญาจึงได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าศาลจะพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำผิด
ดังนั้น กรณี"ครรชิต ทับสุวรรณ"เขาอยู่ในฐานะ"ผู้ต้องหา"ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เขาย่อมมีสิทธิตามกฎหมายในการต่อสู้คดีตามสิทธิที่เขาพึงมีทุกประการ..!
คดีนี้"พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต"รองผบ.ตร.ได้พูดหลังแจ้งข้อกล่าวหากับ"นายครรชิต"เกี่ยวกับประเด็นอาวุธปืนไว้อย่างน่าสนใจว่า...."ในส่วนอาวุธปืนที่ยิงนั้น จากการเก็บปลอกกระสุน พบว่าเป็นขนาด .40 ซึ่งมีคนใช้น้อยมาก เราได้เก็บปลอกและนำไปเปรียบเทียบกับหัวกระสุนที่เก็บได้ เป็นชนิดเดียวกัน และสอบถึงการครอบครองอาวุธปืน ซึ่งนายครรชิตนั้น ได้ขอขึ้นทะเบียนปืนชนิดนี้ไว้ด้วย จึงเชื่อว่าเป็นปืนที่ใช้ยิง เพราะน้อยคนที่ใช้ รวมถึงนายครรชิต เคยเป็นสมาชิกชมรมยิงปืนในค่ายทหารแห่งหนึ่งนั้น ก็ให้ ตร.ไปสอบแล้วเช่นกัน ก็พบว่า อาวุธปืนที่ซ้อมยิงนั้น เป็นขนาด .40"
จากคำพูดของ"พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต"ทำให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่า"ครรชิต"คือผู้ต้องหาตัวจริง และไม่ใช่แพะแน่นอน!
แต่สำหรับคนในฟากฝั่งพรรคประชาธิปัติย์ พรรคที่"ครรชิต ทับสุวรรณ"สังกัดอยู่ กลับไม่คิดเช่นนั้น และถือเป็น วิถีแห่งการต่อสู้คดีของคนในพรรคการเมืองนี้ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค เคยพร่ำพูดอยู่เสมอว่า"ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และ ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย"
การประกาศต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของ"ครรชิต"หากเขาคิดเอง และต่อสู้เอง ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
แต่หากการต่อสู้ครั้งนี้เกิดจากความคิดของขุนพลพรรคประชาธิปัติย์ ที่มากด้วยนักกฎหมายมือดี ถือว่าไม่ค่อยสวยเท่าใดนัก...หากเรื่องจริงคนในพรรครู้ดีว่า"ครรชิต"คือคนยิง"อุดร"
ความพยายามของคนพรรคประชาธิปัติย์ ในการต่อสู้คดีให้ลูกพรรค ถือว่าได้เดินไปอย่างรวดเร็ว
เริ่มจากในช่วงเช้าวันที่ 27ธ.ค.54 ผู้บริหารระดับสูงของพรรค อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรค ได้ปิดห้องพูดคุยอย่างเคร่งเครียด โดยใช้เวลาหลายชั่วโมง มี นายเอนก ทับสุวรรณ บิดาของนายครรชิต ร่วมด้วย
วงหารือ นายเอนก ได้ยืนยันว่า ลูกชายเป็นคนดี เรียบร้อย ไม่มีความคิดจะฆ่าใคร และตระกูลทับสุวรรณ กับไกรวัตนุสสรณ์ ถึงแม้จะเป็นคู่แข่งกัน แต่ก็สนิทสนมกัน เจอกันตามงานของชาวบ้านบ่อยครั้ง การต่อสู้ทางการเมืองตลอด 40 กว่าปี ไม่เคยดุเดือดถึงขั้นต้องเอาชีวิต ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีความแค้นสะสม
ทำให้ในการหารือ จึงมีการตั้งข้อสังเกต ถึงความน่าเชื่อถือของพยาน ที่นำไปสู่การออกหมายจับว่า มาจากพยานเพียงแค่คนเดียวคือ คนขับรถของนายอุดร โดยแสดงความกังขากับบทบาทของตำรวจในการทำคดีว่า พยายามโยงให้เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้
ทั้งนี้ ได้มีการเปรียบเทียบกับคดีคนสนิทของนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ที่พรรคมีหลักฐานว่า เกี่ยวพันกับคู่แข่งในพื้นที่ แต่ตำรวจกลับตัดประเด็นการเมืองออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ยังไม่สอบสวน แต่คดีนายกอบจ.สมุทรสาคร กลับโยงถึงพรรคประชาธิปัตย์ทันที
ส่วนเพื่อน ส.ส.หลายคน ให้ข้อมูลว่า นายครรชิต เป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย ไม่เคยแสดงท่าทีก้าวร้าวหรือนักเลงแต่อย่างใด รวมทั้งบิดายังเป็นคนออกแนวธรรมะธัมโมด้วยซ้ำ ทำให้เพื่อน ส.ส.ในพรรคไม่เชื่อว่า นายครรชิต จะเป็นก่อเหตุอุกอาจครั้งนี้
ถัดมาคำพูดของ"นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ"ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ (ลูกรักนายหัวชวน) ที่เขาขอสวมบทบาทในฐานะทนายความนำตัวนายครรชิต เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาพูดว่า"ครรชิต ไม่ได้กระทำผิด และเขาคือผู้บริสุทธิ์"
นายนิพิฏฐ์ ตั้งข้อสังเกตุว่า "ผมรู้สึกแปลกใจว่า ตำรวจสามารถออกหมายจับ นายครรชิต ได้อย่างรวดเร็ว แตกต่างจากคดีที่มีการยิงคนสนิทของ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่จนถึงขณะนี้ยังหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ ดังนั้น อยากให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาเร่งรัดทุกคดีให้มีความคืบหน้าเท่าเทียมกัน ไม่ใช่พอเป็นคดีความที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายค้านก็มีการเร่งรัดเป็นพิเศษ เพราะจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการทำคดีด้วย"
การโยงคดีฆ่าคนตาย สู่ประเด็นการทำลายล้างทางการเมืองของ"นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ"สมควรหรือไม่?ขึ้นอยู่กับประชาชน ผู้ติดตามข่าว เป็นผู้ตัดสินใจว่า...คดีนี้ใช่ หรือ ไม่ใช่
แต่หากนำความพยายามในการช่วยเหลือ"ครรชิต ทับสุวรรณ"ต่อสู้คดีฐานฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ในครั้งนี้..ไปเทียบเคียงกับอดีตครั้งที่"ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง"ช่วยเหลือ"ดวงเฉลิม อยู่บำรุง"ผู้เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ครั้งถูกดำเนินคดีและฟ้องฐานฆ่า"ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ "ตำรวจกองปราบปราม ตายใน "ทเวนตี้ผับ"โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถ.รัชดาภิเษก โดยที่คดีนี้ "เฉลิม อยู่บำรุง"พูดเสียงดังฟังชัดว่า....ลูกผมไม่ได้ยิง แต่ไอ้ปื๊ด เป็นคนยิง...สุดท้ายลูกชายของเขา ก็คือ ผู้บริสุทธิ์ ตามสิทธิของกฎหมาย เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุด
ผลที่ตามมากรณี"เฉลิม อยู่บำรุง"ผู้รับบทบาทเป็นพ่อ ทำหน้าที่ปกป้องลูกแบบสุดลิ่ม ทิ่มประตู ในยุคนั้น ทำให้เขาเสื่อมซึ่งคุณธรรมและจริยธรรม จนมีการพูดกันว่า"เหลิม เสื่อมเพราะลูก"
ดังนั้น การต่อสู้ของคนในพรรคประชาธิปัติย์ที่หวังทำเพื่อช่วยเหลือ"ครรชิต ทับสุวรรณ"ลูกพรรคให้พ้นผิด จึงไม่ต่างไปจากกรณี"เหลิม ช่วยลูกชายในครั้งอดีต"...นั่นคือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ในพรรคต้องขบคิดให้มาก กับการช่วยเหลือ ปกป้อง "ผู้ต้องหาฆ่าคนตาย"รายนี้! หรือ เพราะว่า"ครรชิต"เขามีพ่อที่ชื่อ"เอนก ทับสุวรรณ"พรรคประชาธิปัติย์ จึงยอมเปลืองตัวมากถึงขนาดนี้!