ผู้ช่วยเลขาฯ รมว.คมนาคม เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากรถไฟขนส่งสินค้าพุ่งชนขณะจอดรถติดไฟแดงย่านอโศก เผย ร.ฟ.ท.พร้อมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ยอมรับเหตุที่เกิดเป็นความไม่ทันสมัยของ ร.ฟ.ท.โดย รมว.คมนาคม สั่งดูแลระบบรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษแล้ว ขณะที่คนขับรถไฟเบี้ยวเข้าให้ปากคำ
วันนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่โรงพยาบาลพระรามเก้า นายสมบัติ รัตโน ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.คมนาคม พร้อมคณะเดินทางเข้าเยี่ยม นางบุญธิดา ภาสุรกุล อายุ 38 ปี หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุรถไฟขนส่งสินค้าพุ่งชนรถที่จอดติดไฟแดง บริเวณแยกอโศก แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง เมื่อหัวค่ำวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนมีผู้ได้รับทั้งหมด 4 ราย
นายสมบัติ กล่าวว่า สำหรับการดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ เบื้องต้นทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะรับผิดชอบในเรื่องค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ส่วนค่าทำขวัญจะมีการพิจารณาจากคณะกรรมการ ร.ฟ.ท.ซึ่งหากผู้บาดเจ็บไม่พอใจสามารถทำเรื่องร้องเรียนได้ภายหลัง
ส่วนความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นยังคลุมเครือ โดยรถไฟขบวนดังกล่าวเป็นขบวนขนสินค้าจาก อ.แก่งคอย จ.สระบุรี มีความยาว 454 ม.บรรทุก 310 หน่วย ส่วนที่น่าจะเป็นปัญหาน่าจะเกิดจากระบบเบรกรถไฟขบวนดังกล่าวที่ใช้ระบบเบรกเก่าแบบลมดูด ซึ่งประสิทธิภาพไม่ดีเท่ากับระบบใหม่ที่ใช้แบบลมอัด รวมทั้งเมื่อขับมาถึงจุดที่เกิดเหตุมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างพนักงานสถานี กับพนักงานขับรถไฟ โดยไม่สามารถลงแผงกั้นได้เนื่องจากรถติด แต่คนขับเห็นไม่ถนัดเพราะไม่มีการเคลื่อนตัวของรถไฟจึงพรางตา เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความไม่ทันสมัยของ ร.ฟ.ท.ซึ่งทาง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมว.คมนามคม ได้สั่งการดูแลเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะจุดสำคัญต่างๆ ในเมืองที่รถไฟวิ่งผ่าน ส่วนปัญหาเรื่องความทันสมัยของระบบที่เกิดขึ้น เท่าที่ทราบจะมีการปรับเปลี่ยนทุกปีแต่บางขบวนยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ต้องรองบประมาณ
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าคนขับรถไฟขบวนดังกล่าวหลบหนีไปหลังจากเกิดเหตุนั้น นายสมบัติ กล่าวชี้แจงว่า ตามระเบียบของ ร.ฟ.ท.เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คนขับรถไฟต้องเอาขบวนรถเข้าสถานีก่อน เนื่องจากเกรงว่าจะกีดขวางการจราจรและทำให้ยิ่งติดขัดขึ้น ซึ่งคนขับรถขบวนดังกล่าวจะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน เพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับคดีในช่วงบ่ายวันนี้ด้วย
ด้าน นางบุญธิดา กล่าวว่า ช่วงที่เกิดเหตุกำลังจะเดินทางกลับบ้านได้ใช้เส้นทางดังกล่าวเป็นประจำ แต่วันนั้นรถติดมากเป็นพิเศษแม้สัญญาณไฟจราจรจะสีเขียวแล้วรถก็ยังไม่ขยับ ซึ่งเห็นเจ้าหน้าที่ยืนสั่งการบางอย่างทางวิทยุก็ไม่ได้เอะใจ จึงขับตามรถคันอื่นออกไป เลยถูกรถไฟวิ่งมาชนและลากไประยะทางค่อนข้างไกล แต่โชคดีที่ได้รับบาดเจ็บไม่มากมีเพียงแผลถลอก และถูกกระจกบาดทั่วตัว โดยแพทย์ได้รักษาเบื้องต้นแล้ว คาดว่า พรุ่งนี้น่าจะกลับบ้านได้ ทั้งนี้ อยากให้ ร.ฟ.ท.ช่วยรับผิดชอบ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะเป็นกลางเมืองที่มีรถวิ่งจำนวนมาก
คนขับรถไฟเบี้ยวเข้าให้ปากคำ
ต่อมาเวลา 14.30 น.พ.ต.ท.ไพรัช ไสยเลิศ พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.มักกะสัน กล่าวว่า ได้ทำหนังสือส่งไปยัง รฟม.เพื่อให้ นายกิตติ์ธเนศ พันธ์อารมณ์ อายุ 45 ปี คนขับรถไฟขบวนดังกล่าวมาสอบปากเพิ่มเติม แต่ นายกิตติ์ธเนศ ยังไม่เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ซึ่งจะทำหนังสือแจ้งไปยัง รฟม.อีกครั้ง เพื่อให้มาพบพนักงานสอบสวน เพราะขณะนี้ได้ทำการสอบสวนพยานไปหลายปากแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟมักกะสัน และพยานที่ประสบอุบัติเหตุ ต่างก็ยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีการส่งสัญญาณบอกก่อนว่าอย่าขับรถไฟเข้ามา แต่คนขับรถไฟยังขับเข้ามาจนเกิดเหตุดังกล่าว หากสอบปากคำแล้วพบว่า นายกิตติ์ธเนศ มีความผิดจริงก็จะถูกดำเนินคดีในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายต่อไป
วันนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่โรงพยาบาลพระรามเก้า นายสมบัติ รัตโน ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.คมนาคม พร้อมคณะเดินทางเข้าเยี่ยม นางบุญธิดา ภาสุรกุล อายุ 38 ปี หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุรถไฟขนส่งสินค้าพุ่งชนรถที่จอดติดไฟแดง บริเวณแยกอโศก แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง เมื่อหัวค่ำวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนมีผู้ได้รับทั้งหมด 4 ราย
นายสมบัติ กล่าวว่า สำหรับการดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ เบื้องต้นทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะรับผิดชอบในเรื่องค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ส่วนค่าทำขวัญจะมีการพิจารณาจากคณะกรรมการ ร.ฟ.ท.ซึ่งหากผู้บาดเจ็บไม่พอใจสามารถทำเรื่องร้องเรียนได้ภายหลัง
ส่วนความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นยังคลุมเครือ โดยรถไฟขบวนดังกล่าวเป็นขบวนขนสินค้าจาก อ.แก่งคอย จ.สระบุรี มีความยาว 454 ม.บรรทุก 310 หน่วย ส่วนที่น่าจะเป็นปัญหาน่าจะเกิดจากระบบเบรกรถไฟขบวนดังกล่าวที่ใช้ระบบเบรกเก่าแบบลมดูด ซึ่งประสิทธิภาพไม่ดีเท่ากับระบบใหม่ที่ใช้แบบลมอัด รวมทั้งเมื่อขับมาถึงจุดที่เกิดเหตุมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างพนักงานสถานี กับพนักงานขับรถไฟ โดยไม่สามารถลงแผงกั้นได้เนื่องจากรถติด แต่คนขับเห็นไม่ถนัดเพราะไม่มีการเคลื่อนตัวของรถไฟจึงพรางตา เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความไม่ทันสมัยของ ร.ฟ.ท.ซึ่งทาง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมว.คมนามคม ได้สั่งการดูแลเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะจุดสำคัญต่างๆ ในเมืองที่รถไฟวิ่งผ่าน ส่วนปัญหาเรื่องความทันสมัยของระบบที่เกิดขึ้น เท่าที่ทราบจะมีการปรับเปลี่ยนทุกปีแต่บางขบวนยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ต้องรองบประมาณ
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าคนขับรถไฟขบวนดังกล่าวหลบหนีไปหลังจากเกิดเหตุนั้น นายสมบัติ กล่าวชี้แจงว่า ตามระเบียบของ ร.ฟ.ท.เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คนขับรถไฟต้องเอาขบวนรถเข้าสถานีก่อน เนื่องจากเกรงว่าจะกีดขวางการจราจรและทำให้ยิ่งติดขัดขึ้น ซึ่งคนขับรถขบวนดังกล่าวจะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน เพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับคดีในช่วงบ่ายวันนี้ด้วย
ด้าน นางบุญธิดา กล่าวว่า ช่วงที่เกิดเหตุกำลังจะเดินทางกลับบ้านได้ใช้เส้นทางดังกล่าวเป็นประจำ แต่วันนั้นรถติดมากเป็นพิเศษแม้สัญญาณไฟจราจรจะสีเขียวแล้วรถก็ยังไม่ขยับ ซึ่งเห็นเจ้าหน้าที่ยืนสั่งการบางอย่างทางวิทยุก็ไม่ได้เอะใจ จึงขับตามรถคันอื่นออกไป เลยถูกรถไฟวิ่งมาชนและลากไประยะทางค่อนข้างไกล แต่โชคดีที่ได้รับบาดเจ็บไม่มากมีเพียงแผลถลอก และถูกกระจกบาดทั่วตัว โดยแพทย์ได้รักษาเบื้องต้นแล้ว คาดว่า พรุ่งนี้น่าจะกลับบ้านได้ ทั้งนี้ อยากให้ ร.ฟ.ท.ช่วยรับผิดชอบ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะเป็นกลางเมืองที่มีรถวิ่งจำนวนมาก
คนขับรถไฟเบี้ยวเข้าให้ปากคำ
ต่อมาเวลา 14.30 น.พ.ต.ท.ไพรัช ไสยเลิศ พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.มักกะสัน กล่าวว่า ได้ทำหนังสือส่งไปยัง รฟม.เพื่อให้ นายกิตติ์ธเนศ พันธ์อารมณ์ อายุ 45 ปี คนขับรถไฟขบวนดังกล่าวมาสอบปากเพิ่มเติม แต่ นายกิตติ์ธเนศ ยังไม่เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ซึ่งจะทำหนังสือแจ้งไปยัง รฟม.อีกครั้ง เพื่อให้มาพบพนักงานสอบสวน เพราะขณะนี้ได้ทำการสอบสวนพยานไปหลายปากแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟมักกะสัน และพยานที่ประสบอุบัติเหตุ ต่างก็ยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีการส่งสัญญาณบอกก่อนว่าอย่าขับรถไฟเข้ามา แต่คนขับรถไฟยังขับเข้ามาจนเกิดเหตุดังกล่าว หากสอบปากคำแล้วพบว่า นายกิตติ์ธเนศ มีความผิดจริงก็จะถูกดำเนินคดีในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายต่อไป