xs
xsm
sm
md
lg

ฎีกากลับยกฟ้อง! อดีตผู้ว่าฯ หนองคายเรียกสินบนเลื่อนตำแหน่ง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายสันติ เกรียงไกรสุข อดีตผู้ว่าฯหนองคาย
ศาลฎีกาพิพากษากลับยกฟ้องอดีตผู้ว่าฯหนองคาย “สันติ เกรียงไกรสุข” ร่วมกับ “เก๋ รพช.” วิ่งเต้นเรียกสินบนเลื่อนตำแหน่งศูนย์เร่งรัดพัฒนาชนบท ศาลชี้หลักฐานโจทก์ไม่ชัดจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

วันนี้ (25 พ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.2217/2542 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้องนายสันติ เกรียงไกรสุข อายุ 71 ปี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย เป็นจำเลยในความผิดฐานเรียกรับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 2-5 พ.ย.41 จำเลยกับ น.ส.ราตรี หรือเก๋ ธารบุญ อดีตลูกจ้างประจำสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) จังหวัดอำนาจเจริญ จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1785/2542 ของศาลอาญา ร่วมกันหลอกลวงนายปรีชาชาติ เจริญพิบูลย์ ว่าจำเลยกับพวกรู้จักและมีความสนิทชิดชอบกับนางฉวีวรรณ ขจรประศาสน์ ภริยา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยในขณะนั้น สามารถช่วยเหลือนายปรีชาชาติซึ่งเป็นข้าราชการระดับ 8 ตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนทางหลวงชนบท รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์เร่งรัดพัฒนาชนบท จังหวัดนครราชสีมา ให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นผู้อำนวยการศูนย์เร่งรัดพัฒนาชนบท ข้าราชการระดับ 9 ได้ โดยร่วมกันเรียกเงินและปลอมเสียงเป็นคุณหญิงฉวีวรรณ เรียกเงินจากนายปรีชาชาติ 2 ครั้ง ครั้งแรก 468,000 บาท ครั้งที่ 2 จำนวน 2 ล้านบาท สำหรับจำเลยกับพวก นอกจากนี้เพื่อเป็นการตอบแทนในการจูงใจและได้จูงใจ พล.ต.สนั่น และนายดิเรก อุทัยผล เลขาธิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทให้ช่วยเหลือนายปรีชาชาติ ให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นโดยวิธีอันทุจริต และเป็นโทษแก่ข้าราชการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทคนอื่น เหตุเกิดที่ตำบลบุ่ง และตำบลคำไก่ อำเภอเมืองอำนาจเจริญ แขวงและเขตห้วยขวาง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 พ.ย.45 ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เมื่อวันที่ 18 ส.ค.48 ให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี จำเลยยื่นฎีกา ทางนำสืบจำเลยอ้างว่าไม่เคยเจรจาทางโทรศัพท์ให้นายปรีชาชาติ ผู้เสียหายโดยเงินที่เข้าบัญชี น.ส.ราตรี จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นกับ น.ส.ราตรี ในการกระทำความผิด ซึ่งเมื่อนายปรีชาชาติทราบความจริงได้ถอนคำร้องทุกข์ไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งทางแพ่งและอาญาแล้ว

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า โจทก์ไม่ได้นำหลักฐานการติดต่อกันทางโทรศัพท์ถือมือระหว่างจำเลยกับนายปรีชาชาติ ผู้เสียหาย ตามที่โจทก์อ้างมาเป็นหลักฐาน จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังว่า มีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ระหว่างจำเลยและนายปรีชาชาติ ตามที่โจทก์อ้าง อีกทั้งเมื่อผู้เสียหายได้ติดต่อผ่านนายวัชกร เกษสิมมา ข้าราชการเร่งรัดพัฒนาชนบท และ น.ส.ราตรี เมื่อได้รับการยืนยันจาก น.ส.ราตรี ที่อ้างว่าได้ติดต่อคุณหญิงฉวีวรรณ และพล.ต.สนั่น รวมถึงนายดิเรกที่ได้รับปากเรื่องเลื่อนตำแหน่งแล้วนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้เสียหายจะต้องติดต่อผ่านจำเลยอีก พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงยังไม่อาจฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยร่วมรู้เห็นเกี่ยวข้องกระทำความผิดกับ น.ส.ราตรี ตามฟ้อง ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

สำหรับ น.ส.ราตรี หรือเก๋ รพช.นั้น ทางพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลเมื่อวันที่ 24 ก.พ.42 โดย น.ส.ราตรี ให้การรับสารภาพโดยตลอดเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ซึ่งขณะนี้ น.ส.ราตรี ได้พ้นโทษไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น