ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 5 ปี อดีตตำรวจหญิงด่าน ตม.สนามบินดอนเมือง เรียกรับเงินจากนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน และไต้หวัน แลกกับการประทับตราพาสปอร์ต ศาลชี้เป็นเหตุร้ายแรง เจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดเสียเอง ทำชาติเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงไม่รอลงอาญา
วันนี้ (18 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดี อ.4697/52 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง จ.ส.ต.หญิง ดารุณี ลดาสุนทร อายุ 53 ปี อดีต ผบ.หมู่งาน 1 กก.4 บก.อก. สตม. เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองโดยมิชอบ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2552 ระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 24 ก.ค. - 9 ส.ค. 2544 จำเลยได้ทุจริตต่อหน้าที่โดยเรียกรับเงินจำนวน 100 บาทจากนางเบญจวรรณ ลุทเจ่ ซึ่งเดินทางจากประเทศเยอรมัน และยังได้เรียกรับเงินจำนวน 500 เหรียญไต้หวันจากนางหวาง ชิ หมิง เพื่อเป็นการค่าตอบแทนในการประทับตราในหนังสือเดินทางอีก เหตุเกิดที่สนามบินดอนเมือง แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ แต่ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา
คดีนี้ ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 มี.ค.53 เห็นว่า จำเลยกระทำผิด 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยไว้ 5 ปี และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ข้าราชการของรัฐ โทษจำคุกจึงไม่รอลงอาญา
ต่อมาจำเลยอุทธรณ์คดีขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษด้วย เนื่องจากมีภาระต้องดูแลมารดาที่ป่วยพิการ
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า พยานโจทก์ที่เป็นผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า จำเลยเรียกรับเงินจริง จำเลยย่อมมีเหตุจูงใจกระทำเพื่อตัวเอง ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์กระทำผิดแล้ว เห็นว่าจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่รักษากฎหมาย กลับกระทำผิดเสียเอง ย่อมเสียหายถึงชื่อเสียงของชาติถือเป็นความผิดร้ายแรง แม้จำเลยจะถูกไล่ออกจากราชการ และมีมารดาพิการที่เป็นภาระต้องเลี้ยงดูก็ไม่มีเหตุอันควรปรานี ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโดยไม่รอลงอาญานั้นเหมาะสมแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
