ศาลสั่งจำคุกสองแนวร่วม นปช.ซุกระเบิดปิงปอง อ้างจะนำกลับไปไล่นกในไร่ที่สกลนคร ชี้เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ให้จำคุก 2 ปี 6 เดือน รับสารภาพในชั้นสอบสวนลดโทษให้เหลือ 20 เดือน ส่วนอีก 1 นปช. ผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำคุก 6 เดือน ปรับ 5 พันบาท แต่ไม่เคยได้รับโทษอาญามาก่อน เห็นควรให้กลับตัว โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปี
วันนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 803 ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.2514/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายวีระ สายพิมพ์ อายุ 28 ปี นายจักรกริช จอมทอง อายุ 24 ปี และนางไกรรุ่ง อ่อนคำ อายุ 40 ปี ทั้งสามเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศ หรือข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 4, 5, 9, 11, 18 และร่วมกันมีวัตถุระเบิด (ระเบิดปิงปอง) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 38, 55, 74, 78
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 เวลากลางวัน ขณะรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ มีผลใช้บังคับอยู่ จำเลยทั้งสามกับพวก ร่วมกันมีวัตถุระเบิด (ระเบิดปิงปอง) จำนวน 24 ลูก อันเป็นวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง ชนิดประกอบจัดทำขึ้นเอง นอกจากนี้ยังพบหัวนอต หนังสติ๊ก และลูกแก้วจำนวน 5 ลูก โดยจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันเข้าร่วมชุมนุมกับบุคลอื่นอีกหลายคน รวมแล้วเกินกว่าห้าคนขึ้นไป และกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่ที่บริเวณถนนของแยกสามเหลี่ยมดินแดง อันมีลักษณะกีดขวางการจราจร เหตุเกิดที่แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ และแขวงและเขตดินแดง กรุงเทพฯ เกี่ยวพันกัน โดยมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจที่ทำการจับกุมจำเลยทั้งสาม เบิกความสอดคล้องกันว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ พยานตั้งด่านตรวจค้นที่บริเวณทางลงด่วนโทลล์เวย์ ถนนแจ้งวัฒนะ ฝั่งขาออก เมื่อพบจำเลยทั้งสาม นั่งรถแท็กซี่ผ่านมาจึงเรียกตรวจค้น พบกระเป๋าเสื้อผ้าที่ท้ายรถภายในมีวัตถุระเบิดของกลางตามฟ้อง จำเลยที่ 1-2 รับสารภาพว่าเป็นเจ้าของ
ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ โดยจำเลยทั้งสามรับว่าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง กำลังเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดสกลนคร โดยระเบิดเตรียมนำกลับไปใช้ไล่นกในไร่ เห็นว่าพยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าเบิกความไปตามจริง โดยจำเลยที่ 1-2 รับสารภาพในชั้นจับกุมว่าเป็นเจ้าของระเบิด พร้อมให้การว่าจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนรู้เห็นในระเบิดด้วย ประกอบกับจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด เชื่อว่าจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนรู้เห็นกับระเบิดดังกล่าว
ส่วนที่จำเลยที่ 1-2 ต่อสู้ว่าอ้างว่าระเบิดมีไว้ใช้ไล่นกนั้น ขัดกับข้อเท็จจริงเพราะของกลางดังกล่าวมักปรากฏเป็นข่าวเสมอว่าเป็นอาวุธที่ใช้ในการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1-2 เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐาน ร่วมกันมีวัดถุระเบิด (ระเบิดปิงปอง) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ลงโทษจำคุก 2 ปี และความผิดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 1-2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-2 เป็นเวลา 20 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 3 มีความผิดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท จำเลยที่ 3 ไม่เคยได้รับโทษอาญามาก่อน เห็นสมควรให้กลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี