ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนประหารสถานเดียว โชเฟอร์แท็กซี่โหดยิงแม่-ฆ่าหั่นศพน้องโช ขณะที่เจ้าตัวคอตกยอมรับในคำพิพากษา ไม่ขอพระราชทานอภัยโทษปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
วันนี้ (10 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 711 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.4099/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสิริพงศ์ หรือใหญ่ กาญจนนิวิฐ หรือกาญจนชมพู อายุ 43 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธปืน, หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, กระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นไม่ยินยอม, ซ่อนเร้นหรือย้ายทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 279, 288, 289, 310, 335, 336 ทวิ, 371 กรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค.52 เวลา 24.00 น.จำเลยได้ใช้อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ยิงนางสุนันท์ ศรีสุวรรณ และด.ช.โช มาคิโน่ บุตรชายของนางสุนันท์ หลายนัดจนถึงแก่ความตาย แล้วหั่นศพ ด.ช.โช แยกทิ้ง และจำเลยยังใช้อาวุธปืนยิง ด.ญ.พิชญา หรือน้องมิ้นท์ จงงามวิไล อายุ 13 ปีเศษ บุตรสาวของนางสุนันท์ หลายนัดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ก.ย.53 ให้ประหารชีวิต ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่วนข้อหาพยายามฆ่า ด.ญ.พิชญา ให้จำคุกตลอดชีวิต, จำคุก 6 ปีฐานชิงทรัพย์ฯ, ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังฯ ให้จำคุก 2 ปี, ฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ให้จำคุก 6 ปี, ฐานซ่อนเร้นทำลายศพฯ จำคุก 1 ปี และข้อหาพกพาอาวุธปืนในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 1 ปี แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว
อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งเห็นว่าโจทก์มี ด.ญ.พิชญา เบิกความว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค.52 เวลา 22.30 น. จำเลยได้ขับรถแท็กซี่ไปรับนางสุนันท์ มารดาและ ด.ช.โช ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางมายังคอนโดมิเนียมที่พักบริเวณรัชดาภิเษก แต่ระหว่างทางจำเลยได้ขับรถออกนอกเส้นทาง ซึ่งเมื่อนางสุนันท์ มารดาสั่งหยุดรถ จำเลยจึงหยิบอาวุธปืนในรถหันมายิงมารดา แล้วเมื่อ ด.ช.โชร้องไห้ จำเลยจึงได้ยิงซ้ำจนเสียชีวิต ส่วนพยานเมื่อถูกยิง พยานจึงแกล้งหมดสติ
ศาลเห็นว่าพยานดังกล่าวแม้ช่วงเกิดเหตุจะเป็นเวลากลางคืน แต่ ด.ญ.พิชญาน่าจะจดจำใบหน้าจำเลยได้ เพราะจำเลยมีความสนิทสนม ซึ่งเคยเป็นผู้เลี้ยงดู ด.ญ.พิชญามาก่อน อีกทั้งการก่อเหตุยิงก็อยู่ในระยะประชิด จึงเชื่อว่าพยานไม่น่าจะให้การปรักปรำจำเลย เพราะไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน โดยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพียงกรรมเดียวกันนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดต่อเนื่อง 2 กรรม จึงเห็นควรพิพากษาแก้ลักษณะความผิดเป็นว่า ให้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) 2 กรรม นอกจากนี้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้นพิพากษา
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสิริพงษ์ จำเลยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ขอยอมรับโทษประหารชีวิตที่ศาลมีคำพิพากษา โดยจะไม่ขอยื่นฎีกาสู้คดีอีก รวมทั้งไม่คิดที่จะขอพระราชทานอภัยโทษด้วย โดยต้องการให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะที่ผ่านมาตนก็ยอมรับสารภาพมาโดยตลอด ซึ่งหลังจากนี้ตนจะได้เตรียมความพร้อมรับโทษต่อไป ทั้งนี้ ขณะที่ถูกคุมขังในเรือนจำตนยังกินอิ่มนอนหลับ และได้สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้อัยการยื่นฟ้อง ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค.52 เวลา 24.00 น.จำเลยได้ใช้อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .38 ซึ่งไม่ได้รับอนุญาต ยิงนางสุนันท์ ศรีสุวรรณ หลายนัดถูกบริเวณกกหูด้านขวา ลำคอหน้าอก กระดูกไหปลาร้าข้างซ้าย จนถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ยังใช้ปืนยิง ด.ช.โช มาคิโน่ บุตรชายของนางสุนันท์หลายนัดถูกบริเวณศีรษะ ลำตัว ต้นแขนขวา และปลายแขนขวา จนถึงแก่ความตายสมดังเจตนา อันเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นอกจากนี้ จำเลยยังใช้อาวุธปืนยิง ด.ญ.พิชญา หรือน้องมิ้นท์ จงงามวิไล อายุ 13 ปีเศษ บุตรสาวของนางสุนันท์หลายนัด แต่กระสุนถูกบริเวณหัวไหล่ขวา ข้อศอกซ้าย ซึ่งไม่ใช่อวัยวะสำคัญ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดย ด.ญ.พิชญาได้ร้องขอชีวิตกับจำเลยไว้ จากนั้นจำเลยได้ลักเอาสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 1 เส้น สร้อยข้อมือทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 1 เส้น พระเครื่องเลี่ยมทองจำนวน 3 องค์ นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ ฝังเพชร 1 เรือน และธนบัตรญี่ปุ่นจำนวน 16,000 เยน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 246,180 บาทของนางสุนันท์ ผู้ตายไปโดยทุจริต แล้วจำเลยได้กักขังหน่วงเหนี่ยว ด.ญ.พิชญา ไว้ในห้องเลขที่ 353/33 บ้านเอื้ออาทร คอนโดมิเนียม ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี แล้วใช้กำลังกระทำอนาจาร ด.ญ.พิชญา
ส่วนศพ ด.ช.โช มาคิโน่ จำเลยได้ใช้มีดปังตอสเตนเลส 2 เล่ม หั่นศพเป็น 12 ชิ้น นำไปแยกใส่ถุงพลาสติกสีดำ 5 ใบ เคลื่อนย้ายศพออกจากห้องพักของจำเลยไปทิ้งไว้ในซอยหมู่บ้านพิมาน แขวงบางละมาด เขตตลิ่งชัน กทม. อันเป็นการซ่อนเร้นศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย ต่อมาวันที่ 12 ต.ค.52 พนักงานสอบสวนพบชิ้นส่วนศพของ ด.ช.โช และวันที่ 13 ต.ค.52 จำเลยได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน พร้อมของกลางอาวุธปืน โดยพนักงานสอบสวนได้ยึดของกลางเป็นมีดบังตอที่ใช้ก่อเหตุจากห้องพักรวมถึง ทรัพย์สินของกลางที่จำเลยลักทรัพย์เอาไปจากพยานบุคคลที่จำเลยนำไปฝากไว้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ในข้อหา พ.ร.บ.อาวุธปืน, ฆ่าและพยายามฆ่าฯ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธปืน และซ่อนเร้นทำลายศพ แต่ให้การปฏิเสธข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง และกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นไม่ยินยอม
วันนี้ (10 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 711 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.4099/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสิริพงศ์ หรือใหญ่ กาญจนนิวิฐ หรือกาญจนชมพู อายุ 43 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธปืน, หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, กระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นไม่ยินยอม, ซ่อนเร้นหรือย้ายทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 279, 288, 289, 310, 335, 336 ทวิ, 371 กรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค.52 เวลา 24.00 น.จำเลยได้ใช้อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ยิงนางสุนันท์ ศรีสุวรรณ และด.ช.โช มาคิโน่ บุตรชายของนางสุนันท์ หลายนัดจนถึงแก่ความตาย แล้วหั่นศพ ด.ช.โช แยกทิ้ง และจำเลยยังใช้อาวุธปืนยิง ด.ญ.พิชญา หรือน้องมิ้นท์ จงงามวิไล อายุ 13 ปีเศษ บุตรสาวของนางสุนันท์ หลายนัดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ก.ย.53 ให้ประหารชีวิต ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่วนข้อหาพยายามฆ่า ด.ญ.พิชญา ให้จำคุกตลอดชีวิต, จำคุก 6 ปีฐานชิงทรัพย์ฯ, ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังฯ ให้จำคุก 2 ปี, ฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ให้จำคุก 6 ปี, ฐานซ่อนเร้นทำลายศพฯ จำคุก 1 ปี และข้อหาพกพาอาวุธปืนในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 1 ปี แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว
อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งเห็นว่าโจทก์มี ด.ญ.พิชญา เบิกความว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค.52 เวลา 22.30 น. จำเลยได้ขับรถแท็กซี่ไปรับนางสุนันท์ มารดาและ ด.ช.โช ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางมายังคอนโดมิเนียมที่พักบริเวณรัชดาภิเษก แต่ระหว่างทางจำเลยได้ขับรถออกนอกเส้นทาง ซึ่งเมื่อนางสุนันท์ มารดาสั่งหยุดรถ จำเลยจึงหยิบอาวุธปืนในรถหันมายิงมารดา แล้วเมื่อ ด.ช.โชร้องไห้ จำเลยจึงได้ยิงซ้ำจนเสียชีวิต ส่วนพยานเมื่อถูกยิง พยานจึงแกล้งหมดสติ
ศาลเห็นว่าพยานดังกล่าวแม้ช่วงเกิดเหตุจะเป็นเวลากลางคืน แต่ ด.ญ.พิชญาน่าจะจดจำใบหน้าจำเลยได้ เพราะจำเลยมีความสนิทสนม ซึ่งเคยเป็นผู้เลี้ยงดู ด.ญ.พิชญามาก่อน อีกทั้งการก่อเหตุยิงก็อยู่ในระยะประชิด จึงเชื่อว่าพยานไม่น่าจะให้การปรักปรำจำเลย เพราะไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน โดยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพียงกรรมเดียวกันนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดต่อเนื่อง 2 กรรม จึงเห็นควรพิพากษาแก้ลักษณะความผิดเป็นว่า ให้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) 2 กรรม นอกจากนี้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้นพิพากษา
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสิริพงษ์ จำเลยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ขอยอมรับโทษประหารชีวิตที่ศาลมีคำพิพากษา โดยจะไม่ขอยื่นฎีกาสู้คดีอีก รวมทั้งไม่คิดที่จะขอพระราชทานอภัยโทษด้วย โดยต้องการให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะที่ผ่านมาตนก็ยอมรับสารภาพมาโดยตลอด ซึ่งหลังจากนี้ตนจะได้เตรียมความพร้อมรับโทษต่อไป ทั้งนี้ ขณะที่ถูกคุมขังในเรือนจำตนยังกินอิ่มนอนหลับ และได้สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้อัยการยื่นฟ้อง ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค.52 เวลา 24.00 น.จำเลยได้ใช้อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .38 ซึ่งไม่ได้รับอนุญาต ยิงนางสุนันท์ ศรีสุวรรณ หลายนัดถูกบริเวณกกหูด้านขวา ลำคอหน้าอก กระดูกไหปลาร้าข้างซ้าย จนถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ยังใช้ปืนยิง ด.ช.โช มาคิโน่ บุตรชายของนางสุนันท์หลายนัดถูกบริเวณศีรษะ ลำตัว ต้นแขนขวา และปลายแขนขวา จนถึงแก่ความตายสมดังเจตนา อันเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นอกจากนี้ จำเลยยังใช้อาวุธปืนยิง ด.ญ.พิชญา หรือน้องมิ้นท์ จงงามวิไล อายุ 13 ปีเศษ บุตรสาวของนางสุนันท์หลายนัด แต่กระสุนถูกบริเวณหัวไหล่ขวา ข้อศอกซ้าย ซึ่งไม่ใช่อวัยวะสำคัญ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดย ด.ญ.พิชญาได้ร้องขอชีวิตกับจำเลยไว้ จากนั้นจำเลยได้ลักเอาสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 1 เส้น สร้อยข้อมือทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 1 เส้น พระเครื่องเลี่ยมทองจำนวน 3 องค์ นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ ฝังเพชร 1 เรือน และธนบัตรญี่ปุ่นจำนวน 16,000 เยน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 246,180 บาทของนางสุนันท์ ผู้ตายไปโดยทุจริต แล้วจำเลยได้กักขังหน่วงเหนี่ยว ด.ญ.พิชญา ไว้ในห้องเลขที่ 353/33 บ้านเอื้ออาทร คอนโดมิเนียม ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี แล้วใช้กำลังกระทำอนาจาร ด.ญ.พิชญา
ส่วนศพ ด.ช.โช มาคิโน่ จำเลยได้ใช้มีดปังตอสเตนเลส 2 เล่ม หั่นศพเป็น 12 ชิ้น นำไปแยกใส่ถุงพลาสติกสีดำ 5 ใบ เคลื่อนย้ายศพออกจากห้องพักของจำเลยไปทิ้งไว้ในซอยหมู่บ้านพิมาน แขวงบางละมาด เขตตลิ่งชัน กทม. อันเป็นการซ่อนเร้นศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย ต่อมาวันที่ 12 ต.ค.52 พนักงานสอบสวนพบชิ้นส่วนศพของ ด.ช.โช และวันที่ 13 ต.ค.52 จำเลยได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน พร้อมของกลางอาวุธปืน โดยพนักงานสอบสวนได้ยึดของกลางเป็นมีดบังตอที่ใช้ก่อเหตุจากห้องพักรวมถึง ทรัพย์สินของกลางที่จำเลยลักทรัพย์เอาไปจากพยานบุคคลที่จำเลยนำไปฝากไว้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ในข้อหา พ.ร.บ.อาวุธปืน, ฆ่าและพยายามฆ่าฯ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธปืน และซ่อนเร้นทำลายศพ แต่ให้การปฏิเสธข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง และกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นไม่ยินยอม