00..."จักรภพ เพ็ญแข และ ใจ อึ๊งภากรณ์"คือ 2 บุคคลอันตรายที่"พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา"ผบ.ทบ.เอ่ยชื่อถึงว่า เขาคือ ผู้ที่กระทำความผิดฐานล้มล้างสถาบันฯที่อยู่นอกประเทศ พร้อมทั้งประกาศชัดว่า ทหารยอมไม่ได้
หากถามกลับไปว่า"ผบ.ทบ."เพิ่งทราบ หรือ ทราบนานแล้ว ว่า 2 บุคคลอันตรายที่พูดถึง ได้กระทำความผิดเมื่อใด และใครที่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดทั้ง 2 หลบหนีออกนอกประเทศ
ตอบได้ทันทีว่า...ท่าน ผบ.ทบ.ย่อมทราบดี และทราบอีกว่า รัฐบาลใคร ที่ปล่อยให้ บุคคลทั้ง 2 หลบหนี
พูดแล้วช้ำ สำหรับการดำเนินคดี "จักรภพ เพ็ญแข และ ใจ อึ้งภากร"ที่กระบวนการยุติธรรมไทย ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล ไม่ได้ดำเนินการเอาผิดตามที่ควรจะเป็น แต่กลับปล่อยให้บุคคลทั้ง 2 หนี และไปปลุกระดมผู้คนให้ออกมากระทำความผิดในฐานเดียวกันเพิ่มมากขึ้น
หนักข้อกว่านั้น เมื่อพบว่า คดีของ"จักรภพ เพ็ญแข"กว่า 4 ปี อัยการยังไม่สั่งฟ้อง อีกทั้งที่พิเศษสุด เขาคือผู้ต้องหาที่ได้รับอภิสิทธิ์จาก ตำรวจ และ อัยการ ในการเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
เริ่มจากปี 2551 วันที่ 24 มี.ค. พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับนายจักรภพ ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีที่ เขาแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง โดยมีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตย ระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย ปัจจุบัน
ความเป็นจริงที่เห็นได้ชัดคดี "จักรภพ" หมิ่นเบื้องสูง มีการยื้อเวลาในชั้นพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2551 ทนายความนายจักรภพ ไปกองปราบ ร้องขอสอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก และต่อมาได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ ขอเลื่อนส่งตัว และสำนวนคดีไปให้อัยการ จากนั้นมีการยื้อ จนต้องเริ่มต้นขั้นตอนใหม่ ด้วยการสอบพยานเพิ่ม ส่งให้คณะกรรมการหลายระดับพิจารณา ก่อนจะสรุปสำนวนสั่งฟ้องและส่งให้กับอัยการ
ในชั้นอัยการ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2552 อัยการได้ลื่อนสั่งคดีออกไปโดยระบุว่า พบข้อบกพร่องบางประการเกี่ยวกับการแปลความถ้อยคำ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็น
15 มิ.ย. 2552 อัยการนัดเลื่อนสั่งคดีอีก เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องการแปลเอกสาร และสอบพยานในส่วนที่ผู้ต้องหาร้องขอยังไม่แล้วเสร็จ คณะทำงานอัยการ จึงได้ทำหนังสือเร่งรัดให้ดำเนินการโดยเร็ว และให้เลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปอีก
17 ก.ค. 2552 ทนายความ นายจักรภพ เดินทางมาพบอัยการ พร้อมยื่นเรื่องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง ขณะที่อัยการยังต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้น จึงเลื่อนนัดการสั่งคดีออกไปก่อนเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
4 ก.ย. 2552 อัยการ มีคำสั่งเลื่อนนัดสั่งคดีออกไปอีก เนื่องจากหัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีนี้ ยังไม่ส่งผลสรุปความเห็นอัยการเกี่ยวกับการสั่งคดีนายจักรภพมาให้พิจารณา อีกทั้งพนักงานสอบสวนยังไม่ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นการแปลเอกสารคำบรรยายภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย รวมทั้งยังไม่ส่งผลการสอบปากคำพยานบุคคลที่นายจักรภพร้องขอความเป็นธรรมให้สอบเพิ่มเติมมาให้ ทำให้อัยการยังไม่สรุปว่า จะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ล่าสุด สำนวนคดียังถูกดองเค็มอยู่ที่อัยการ โดยอ้างเหตุ ผู้ต้องหาหลบหนี
สำนวนคดี "จักรภพ" หมิ่นเบื้องสูง ถือว่าอัยการไม่ทำให้ผิดหวัง โดยสั่งให้มีการเลื่อนคดีถึง 4 ครั้ง จนถึง ณ ปัจจุบัน สำนวนคดียังถูกดองเค็มอยู่ที่อัยการ โดยอ้างเหตุ ผู้ต้องหาหลบหนี และ"ยังแปลเอกสารไม่เสร็จสมบูรณ์"
00...มาถึง "รศ.ใจล์ ใจ อึ๊งภากรณ์"ที่ขณะกระทำความผิดเขาคือ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันนี้ เขาก็คือ ผู้ต้องหาที่ได้หนีออกนอกประเทศ ในยุค"รัฐบาลมาร์ค"เช่นกัน
จำความได้สำหรับบุคคลอันตรายผู้นี้ ในครั้งที่เขาเดินทาง เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เมื่อ 20 ม.ค.2552 หลังถูกออกหมายเรียกในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 พบว่าวันนั้น มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 30 คน และกลุ่มประชาธิปไตยแรงงานจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกประมาณ 10 คน เดินทางมาให้กำลังใจ พร้อมชูป้ายข้อความว่า “ม.112 กฎหมายเผด็จการ ล้าหลัง ทำลายเสรีภาพ”, “ใช้กฎหมายหมิ่นคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ คือเผด็จการทางปัญญา” พร้อมกับตะโกนเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุาภาพ
รศ.ใจล์ ใจ พูดในวันนั้นว่า "ตนเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากได้เขียนหนังสือเชิงวิชาการเรื่อง A Coup for the Rich ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนไปเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ซึ่งเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยเขาคิดว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นการละเมิดสิทธิและการแสดงออก ประเทศอื่นๆ ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ยังไม่ใช้กฎหมายนี้เลย ซึ่งกฏหมายดังกล่าวขัดต่อการแสดงออกทางสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ ไม่เพียงแค่นั้น เขายังพูดต่อว่า จะล่ารายชื่อประชาชนให้ยกเลิกการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
แต่กระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ ชั้นตำรวจ ทำได้เพียง สอบปากคำเขา เอาไว้เป็นหลักฐานและได้แจ้งข้อหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากนั้น ก็ปล่อยให้เขาหลบหนีออกนอกประเทศ
ดังนั้น เมื่อความจริงประเทศไทย วันนี้ คือ ห้วงวันเวลาแห่งการรอผลเลือกตั้ง ใครแพ้ ใครชนะ ใครคือรัฐบาล ใครคือฝ่ายค้าน ไม่นานเกินรอมีคำตอบ แต่ที่แน่ๆในห้วงกว่า 2 ปีของรัฐบาล"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"กลับไม่ได้ทำอะไรเลย โดยปล่อยให้"จักรภพ เพ็ญแข และ ใจ อึ๊งภากรณ์"หนีออกนอกประเทศอย่างลอยนวล!!!