"ได้ติดตามข่าวสารรถหายจากทางโทรทัศน์ว่ามีรถหายที่ไหนบ้าง จากนั้นจะไปเปิดดูข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเว็บกูเกิล ซึ่งพบมีข้อมูลรถหายเป็นจำนวนมาก จึงกลายเป็นช่องทางที่นำมาหากินหาเงินใช้ได้ จึงตัดสินใจทำ โดยทำมาแล้วกว่า 20 ราย ซึ่งได้เงินมาร่วม 5 แสนบาท โดยนำเงินไปใช้จ่ายและเล่นการพนันในบ่อนพื้นที่ จ.ภูเก็ต จนหมด ยอมรับว่าทำเพียงคนเดียว"
นั่นเป็นคำสารภาพของ "นายสุรชัย หรือตี๋ ตั้งประสิทธิ์ศิลป์" อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาหลอกให้เจ้าของรถยนต์ที่แจ้งหายโอนเงิน เพื่อไถ่รถคืน ภายหลังที่ทีมสืบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้แกะรอยตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี
โดยการตามจับคนร้ายครั้งนี้ เจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่าคนร้ายรายนี้มีพฤติการณ์การทำผิด คือจะค้นหาข้อมูลรถหายและหมายเลขโทรศัพท์เจ้าของรถที่แจ้งหายที่ลงประกาศไว้ในอินเทอร์เน็ต โดยค้นหาในเว็บไซต์กูเกิล ระบุคำว่า “รถหาย” ก็จะปรากฏชื่อเบอร์โทรศัพท์เจ้าของรถและลักษณะของรถอย่างละเอียด จากนั้นคนร้ายจะโทรศัพท์เข้าไปหาผู้เสียหายแต่ละราย โดยบอกว่าตอนนี้รถที่หายไปนั้นอยู่กับตนเองแล้ว มีคนนำมาจำนำไว้ พร้อมบอกรายละเอียดของรถได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ตามจับกุมตัว "นายสุรชัย หรือตี๋ ตั้งประสิทธิ์ศิลป์" ได้อย่างง่ายดาย และกับเพียงแค่คนร้ายหัวหมอยอมเสียเงินค่าโทรศัพท์มือถือ โทรไปหลอกเหยื่อแต่ละรายที่ถูกขโมยรถไป แล้วอยากได้รถคืน ซึ่งเมื่อเจ้าของรถยิ่งต้องการได้รถคืนมากเท่าไหร่ คนร้ายก็จะหลอกล่อให้โอนเงินเข้าบัญชี เป็นเงินจำนวน 60,000-150,000 บาท จากนั้นคนร้ายจะทำเป็นยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะนำรถที่หายไป นำไปคืนไว้ตามจุดที่มีการนัดหมายกันแน่นอน แต่ย้ำกับเหยื่อว่าจะต้องโอนเงินเข้าบัญชีของคนร้ายก่อน มิฉะนั้นจะไม่คืนรถให้ เพียงเท่านี้คนร้ายก็ก่อเหตุได้สำเร็จ
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อโอนเงินให้ไปก่อน และเมื่อคนร้ายได้เงินเรียบร้อยแล้วจะปิดโทรศัพท์มือถือหนีทันที
ปัจจุบันนี้นอกจากคนร้ายจะใช้วิธีการหลอกเหยื่อตามรูปแบบเบื้องต้นแล้ว ซึ่งในทางเดียวกันก็ยังมีแก๊งโจรกรรมออกอาละวาดลักรถไม่เว้นแต่ละวัน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตำรวจสน.มีนบุรีได้โช์ผลงานทลายแก๊งโจรกรรม จยย. ได้ 3 ราย ประกอบด้วย นายออย (นามสมมติ) อายุ 16 ปี และ ด.ช.กอล์ฟ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี ซึ่งแก๊งวัยละอ่อนที่มีเด็กวัย 12 ปี ร่วมทีมดังกล่าวจะควบจยย. ไปตระเวนใช้ไขควงขโมยรถเป้าหมาย แล้วนำไปขายต่อในราคาคันละไม่กี่พัน เพื่อนำเงินใช้เที่ยวเตร่ เมื่อถูกจับก็อ้างว่าทำไปเพราะเกิดความคึกคะนอง ส่วนอีกแก๊ง บก.น.3 ได้รวบตัวนายอุทิศ ผลทวี อายุ 36 ปี นายภวัต ปณยาเดชาคมน์ อายุ 34 ปี นายประจักร คำเสียง อายุ 28 ปี และ น.ส.ปรีญา สินนา อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา โดยคนร้ายกลุ่มนี้จะแกล้งทำทีแจ้งความเท็จว่ารถหาย แต่แท้จริงแล้วหัวหน้าแก๊งจะใช้วิธีจ้างลูกน้อง โดยให้เงินลูกน้องในแก๊งคนละ 2 หมื่นบาท ไปดาวน์รถ จยย.ตามร้านขายรถ จยย. ในพื้นที่ทั่ว กทม ซึ่งเมื่อลูกน้องถอยรถ จยย.คันใหม่ออกมาได้แล้วก็จะนำรถไปซุกซ่อนไว้ในโกดัง จากนั้นจะส่งขายต่อประเทศเพื่อนบ้านในราคาคันละ 6 หมื่นบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถ จยย.ยี่ห้อยามาฮ่า ฟีโน่ และฮอนด้า คลิก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเจ้าหน้าที่่จะเร่งกวาดขันปราบปรามแก๊งโจรกรรรมรถอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่หมดไปซะที เพราะบรรดาเหล่าโจรผู้ร้าย ที่ไม่คิดจะประกอบอาชีพอื่นใดให้เป็นหลักแหล่ง คิดเพียงอย่างเดียวต้องสร้างความเสียหาย ความเจ็บช้ำใจให้กับเพื่อนมนุษย์ ที่พยายามสร้างสมทรัพย์สิน ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ 5 นั่นก็คือรถ จยย. และรถยนต์ส่วนตัว เพื่อมีไว้ใช้เป็นยานพาหนะนำพาความสะดวก สบายพาไปได้ทุกหนทุกแห่ง แต่ต้องมาอันตธานหายไป จากน้ำมือเพื่อนร่วมโลกที่มีอาชีพเป็นโจร คอยลักรถเพื่อไปขาย เพื่อนำเงินไปใช้เสพยา และเที่ยวเตร่
จากสถิติรถหายที่ผ่านมา ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถกองบัญชาการตำรวจนครบาล (หน.ศปจร.น.) เปิดเผยว่าแชมป์รถหายมากที่สุด คือ “รถยนต์โตโยต้า-จยย.ฮอนด้า” ซึ่งเป็นยี่ห้อโจรฮิต โดยพื้นที่ บก.น.2 ครองแชมป์รถถูกโจรกรรมบ่อยที่สุด ซึ่งพบว่า จยย.หาย 5,504 คัน กระบะ 409 คัน และเก๋ง 300 คัน โดยรถยนต์โตโยต้า-จยย.ฮอนด้าจะเป็นที่ต้องตาต้องใจโจรมากสุด พร้อมกับระบุว่า ถนนตรอกซอกซอยช่วง 2 ทุ่มถึงเที่ยงคืนเสี่ยงต่อการถูกขโมยรถมากที่สุด
สำหรับรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 709 คัน ได้คืน 39 คัน ส่วนของรถจักรยานยนต์ที่ถูกโจรกรรมในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 5,504 คัน ได้คืน 335 คัน ซึ่งนับประสาอะไรกับรถของประชาชนจะทยอยหายในแต่ละวัน ประกอบกับขณะนี้เป็นช่วงที่แต่ละพรรคการเมืองเร่งระดมพลออกตระเวนหาเสียงเลือกตั้ง แต่บางพรรคก็ต้องมาสะดุดเพราะเกิดเหตุรถหาเสียงเลือกตั้งหายไปอย่างไร้วี่แวว โดยล่าสุดรถหาเสียงของพรรคมาตุภูมิ จอดอยู่หน้าศูนย์ประสานงานพรรคย่านลาดพร้าวก็หายไป โดยนายอมร พิกุลงามโชติ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคมาตุภูมิ บอกว่าต้องสูญเสียทรัพย์ทั้งพระเครื่อง สร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท และทรัพย์สินอื่นที่เก็บไว้หายไปกับรถคันที่ล่องหน เป็นมูลค่ากว่า 6 แสนบาท
โจรผู้ร้ายในยุคนี้มันช่างชุกชุมเสียเหลือเกิน ไม่เว้นว่ารถจะเป็นของใคร แต่หากมีใบสั่ง หรือรถคันไหนผ่านหูผ่านตาแล้วเกิดถูกใจ คิดว่าจะขายต่อได้ราคาพวกคนร้ายก็จะโจรกรรมรถคันนั้นทันที อย่างไรก็ดี อยากขอฝากไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะ "พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี" ผบ.ตร. ช่วยกระตุ้นกำลังเจ้าหน้าที่หมั่นดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน ดูแลสารทุกข์สุขดิบของประชาราษฎร์ ไม่ให้ต้องตื่นตระหนกว่ารถจะหายวันใด และขอฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง 3 ก.ค.นี้ด้วยว่า อย่าลืมเน้นนโยบายปราบปรามการโจรกรรมรถ ให้เกิดศักยภาพกว่าที่เป็นอยู่ด้วย!!